31/8/52

วัยรุ่นติดเน็ตอันตราย!!!




อย่างที่เราทราบกันดีนะคะว่า “อินเตอร์เน็ต” นั้นเหมือนดาบสองคม สามารถให้ทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์แก่ผู้ที่ใช้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้นั้นจะมีวิจารณญาณในการใช้ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าในช่วงของวัยรุ่นแล้วการใช้อินเตอร์เน็ตนั้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสียงที่จะสร้างปัญหาให้กับวัยรุ่นได้



เมื่อเร็วๆ นี้ มีผลสำรวจจากประเทศออสเตรเลียออกมาว่า พ่อแม่ชาวออสเตรเลียนกำลังมีความเป็นห่วงลูกหลาน หลังจากมีข่าวเด็กวัยรุ่น "ฆ่าตัวตาย" เพราะถูกกลั่นแกล้ง รังแก ผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรือโทรศัพท์มือถือ


ข่าวเด็กหญิงชาวเมืองเมลเบิร์นวัย 14 ฆ่าตัวตาย และแม่ของเด็กหญิงกล่าวโทษว่าเป็นเพราะลูกสาวถูกคุกคามทางอินเตอร์เน็ต โดยก่อนจะเสียชีวิตลูกสาวได้เล่าให้เธอฟังว่ามี "ข้อความ" ที่เขียนถึงตัวเธอในทางเสียหาย และได้ไปโผล่ในอินเตอร์เน็ต ทำให้เธอเครียดมาก และอยากฆ่าตัวตาย กลายเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ การข่มเหง รังแกผ่านโลกไซเบอร์ กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา และทำให้มีการสำรวจตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งจากผลสำรวจในเด็ก 200,000 คน พบว่ามีอยู่ 10% ที่บอกว่าเคยโดนรังแก รังควานแบบนี้มาแล้ว


เตือนภัย : วัยรุ่นติดเน็ตอันตราย!!!


สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวมีนักจิตวิทยาหลายคนได้ออกมาให้ความเห็นว่าเด็กๆ ผู้ตกเป็นเหยื่อมีแนวโน้มที่จะมีความเครียด วิตกกังวล และสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง อันนำไปสู่ความคิดอยากฆ่าตัวตาย


ส่วนเด็กและวัยรุ่นที่ตกเป็นเหยื่อเล่าว่า การกลั่นแกล้ง รวมทั้งข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับพวกเขา มันทำให้เขารู้สึกว่าถูกทำลายชื่อเสียง รู้สึกว่าอาจมีคนไม่ชอบพวกเขา โดยมันทำลายชีวิตเขาทั้งทางสังคม อารมณ์ จิตใจ


นอกจากนี้ในผลสำรวจยังกล่าวว่า หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่พบจากการสำรวจครั้งนี้ก็คือ เด็กๆ รู้สึกว่าผู้ใหญ่ไม่ได้มองปัญหาภัยคุกคามทางโลกอินเตอร์เน็ตอย่างซีเรียสจริงจัง

30/8/52

ยืดเส้นเตรียมพร้อม ก่อนออกกำลังกาย




ยืนหันหน้าเข้าหาเสาหลักของคุณ


วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงไปให้มีความห่างมากกว่าช่วงไหล่ของคุณเล็กน้อย


ก้าวเท้าเดินถอยหลังออกไปพร้อมๆ กับขยับมือเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ จนตำแหน่งที่วางมืออยู่ในระดับความสูงเท่ากับช่วง


กดน้ำหนักที่มือทั้งสองข้างเล็กน้อย เหยียดแขนให้ตึง ยืดลำตัวและผลักสะโพกออกไปด้านหลัง


เปิดขาห่างกัน ความกว้างระหว่างขาทั้งสองประมาณเท่าสะโพก


ปลายเท้าชี้ตรงไปด้านหน้า ยืนให้เต็มฝ่าเท้า และพยายามเหยียดขาตรง ปล่อยศีรษะและคอสบายๆ


เหยียดแขนให้ตึง ยืดหลังตึง และยืนให้ขาตรงเป็นมุมฉากกับพื้น


ค้างไว้ในท่า ไม่ว่าจะรู้สึกตึงแค่ไหนก็ขอให้อดทนไว้


เอาสมาธิออกจากความตึงไปไว้ที่ลมหายใจ นับลมหายใจเข้าออกช้าๆ 5-10 ลมหายใจ


คลายท่า พักสักครู่แล้วทำซ้ำ 3-5 ครั้ง


ก่อนออกกำลังกายครั้งต่อไป อย่าลืมยืดเส้นนะคะ ^-^

เรื่องเล่าสอนใจ รองเท้ากับความรัก




รองเท้าแตะมีขายตามร้านทั่วไป เวลาที่เราไปเห็นก็จะนึกสนใจ มีคนเสนอขายให้ราคาถูกๆ ก็ไม่เคยคิดจะซื้อ แต่พอจำเป็นเข้าจริงๆ ก็ต้องไปซื้อมาแก้ขัดก่อนอยู่ดี

……………………………………………………..

รองเท้าบางคู่ใหม่ๆ อาจรู้สึกสบาย แต่ถ้าใส่นานๆ เข้า อาจจะรู้สึกว่ารองเท้า คู่นี้ไม่เหมาะกับเรา อยากจะถอดทิ้งเสียเหลือเกิน

………………………………………………………….

รองเท้าบางคู่ลองใส่ที่ร้านแล้วรู้สึกแปลกๆ อาจมีบ้างที่คับไป หรือ หลวมไป แต่ใครจะรู้ บางทีพอใส่ไปซักพัก หนังอาจจะขยายพอดีกับเท้าของเรา จนรู้สึกว่าดีเหลือเกินที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกคู่นี้

……………………………………………………….

รองเท้าบางคู่ ดูภายนอกอาจตลก แต่รู้มั๊ยว่าบางทีเมื่อมันมาอยู่คู่กับเท้าของเรา อาจจะทำให้ทั้งเท้าของเราและรองเท้าดูดีผิดหูผิดตาไป

……………………………………………………….

ส่วนรองเท้าคู่ไหนที่เห็นคนอื่นใส่แล้วดูดี ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเมื่อเราใส่แล้วจะดีเหมือนกับที่คนอื่นใส่

……………………………………………………………

ใครที่มีรองเท้ามากเกินความจำเป็น เขาเหล่านั้นก็คงจะไม่รู้ว่าคู่ไหนเป็นคู่โปรด ตราบเมื่อเค้าได้เสียรองเท้าคู่นั้นไป ซึ่งมันก็อาจจะสายไปเสียแล้วที่จะทวงคืน

…………………………………………………..

แล้วรองเท้าตามโรงแรมล่ะ รองเท้าสาธารณะเหล่านั้นได้ผ่านเท้า ของผู้คนมามากมาย บางคู่อาจยังใหม่ บางคู่อาจดูโทรม บางคู่อาจจะนำพาโรคมาสู่ผู้ที่ใส่ แต่รองเท้าสาธารณะเหล่านี้ มีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ อยากมากจนเรียกว่าแทบจะไม่มีเลย ที่จะมีคนมาขอซื้อ เป็นเจ้าของ นอกเสียจากซื้อไว้ดูเล่น ซึ่งจะไม่มีทางได้สัมผัสความรักระหว่างเจ้าของกับรองเท้า

…………………………………………………………

รองเท้าที่เหมาะกับเรา หาได้ไม่ยาก และไม่ง่ายแต่ถ้าเดินไปแล้วเจอคู่ที่ถูกใจ ควรรีบตัดสินใจซื้อก่อนที่จะถูกคนอื่นมาตัดหน้าไปก่อน ซึ่งรองเท้าคู่นั้น อาจจะเป็นคู่เดียวในโลกที่เหมาะกับเรามากที่สุดก็ได้

…………………………………………………………..

ส่วนรองเท้าบางคู่ที่ไม่เหมาะกับเรา ใส่แล้วไม่รู้สึกสบาย อย่าพยายามใส่ต่อไปอีกเลย มีแต่จะทำให้เราทรมาน และในที่สุดเราก็ต้องโยนมันทิ้งไปอยู่ดี

………………………………………………………….

รองเท้าสมัยใหม่ ดูแล้วเท่ แต่รองเท้าสมัยเก่า ใส่แล้วก็ดูดีไปอีกแบบ จะสมัยไหนก็ช่าง ขอให้ใส่แล้วสบายที่สุด เมื่อเจอแล้วควรใส่อย่างถะนุถนอมจะได้อยู่กับเราไปนานเท่านาน….

27/8/52

น้ำตกเจ็ดสาวน้อย



น้ำตกเจ็ดสาวน้อย อยู่ในอำเภอมวกเหล็ก เป็นน้ำตกที่มีความงดงามของชั้นน้ำตก และมีความเป็นธรรมชาติ มีบริเวณเล่นน้ำกว้างขวาง น้ำตกมีด้วยกันทั้งหมด 7 ชั้น


... น้ำตก จะมีน้ำตลอดปี ... สามารถไปเที่ยวได้ทุกฤดูเลยครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม : -" อาหารการกิน " มีอาหารตามสั่งมากมาย ... โดยจะมีป้ายบอกราคาอาหารบริเวณหน้าร้านขายอาหาร...หากทางร้านขายเกินราคา.. แจ้งเจ้าหน้าที่น้ำตกเจ็ดสาวน้อยได้เลยครับ... เพื่อความเป็นธรรมในสังคม... " ค่าจอดรถ " จอดฟรีครับ ( ไม่เสียค่าจอด ) " มีห่วงยางให้เช่า " ที่นี่มีห่วงยางให้เช่าสำหรับเล่นน้ำตก เหมือนกับห่วงยางที่ใช้เล่นน้ำทะเล



สถานที่ใกล้เคียง น้ำตกดงพญาเย็น เป็นน้ำตกชั้นเดียว สูงประมาณ 1 - 2 เมตร บรรยากาศบริเวณน้ำตกร่มรื่นด้วยต้นไม้ มีอาหารการกินไว้บริการ น้ำตกดงพญาเย็นอยู่ห่างจากน้ำตกเจ็ดสาวน้อยประมาณ 1 กิโลเมตร ( ออกจากน้ำตกเจ็ดสาวน้อยแล้วเลี้ยวขวา แล้วขับตรงไปประมาณ 1 กิโลเมตร...น้ำตกดงพญาเย็นจะอยู่ทางด้านขวามือของท่าน ซึ่งอยู่ห่างจากถนนประมาณ 20 เมตร ... จะเลี้ยวขวาตรงทางเข้าน้ำตกตรงนี้ต้องระวังหน่อยนะครับ ดูรถข้างหน้า...รถที่ตามมาข้างหลังให้ดี... เพราะตรงทางเลี้ยวขวาเข้าน้ำตกดงพญาเย็นเป็นทางโค้งนะครับ ) น้ำตกปากคลอง เป็นน้ำตกชั้นเดียว


สูงประมาณ 1 - 2 เมตร บรรยากาศบริเวณน้ำตกร่มรื่นด้วยต้นไม้ มีอาหารการกินไว้บริการ น้ำตกปากคลองจะตั้งอยู่ภายในวัด น้ำตกปากคลองอยู่ห่างจากน้ำตกดงพญาเย็นประมาณ 2 กิโลเมตร ( ออกจากน้ำตกดงพญาเย็นแล้วเลี้ยวขวา แล้วขับตรงไปประมาณ 2 กิโลเมตร...ทางเข้าน้ำตกปากคลองจะอยู่ทางด้านซ้ายมือของท่าน ... เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 100 เมตร จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าไปในวัดประมาณ 50 เมตร น้ำตกปากคลองจะอยู่ทางด้านขวามือของท่าน ) ทุ่งทานตะวัน ( ทุ่งแสลงพัน ) อยู่ห่างจาก น้ำตกเจ็ดสาวน้อย ไปทางอำเภอวังม่วง 24 กิโลเมตร


ดอกทานตะวันจะบานสวยงามในช่วงวันที่ 15 พฤศจิกายน - 15 มกราคม เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อยู่ห่างจาก น้ำตกเจ็ดสาวน้อย ไปทางอำเภอวังม่วง 44 กิโลเมตร การเดินทางไปทุ่งทานตะวันและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์.... ( ใช้เส้นทางเดียวกัน โดยจะถึงทุ่งทานตะวันก่อน ).... ออกจาก น้ำตกเจ็ดสาวน้อย เลี้ยวซ้าย จากนั้นขับตรงไป 5.2 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวา แล้วขับตรงไป 3 กิโลเมตร จากนั้นให้ท่านเลี้ยวขวาไปทางเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ( ถ้าเลี้ยวซ้ายจะไปน้ำตกมวกเหล็ก ) หลังจากเลี้ยวขวาแล้วขับตรงไปประมาณ 14.9 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาไปทางอำเภอวังม่วง ( ถ้าตรงไปจะไปอำเภอแก่งคอย ) ขับตรงไปประมาณ 600 เมตร ทางด้านซ้ายมือของท่าน ก็คือ ทุ่งทานตะวัน ( ทุ่งแสลงพัน ) จากนั้นถ้าท่านจะไป


เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ให้ท่านขับตรงไปอีกประมาณ 8.35 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้าย แล้วขับตรงไปประมาณ 1.4 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้าย แล้วขับตรงไป 10.4 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวา ท่านก็จะถึง เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

ตาก - น้ำตกทีลอซู

ตาก : น้ำตกทีลอซู ล่องเรือ ทีลอซู

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางมีพื้นที่ 1,619,280 ไร่ เป็นเขตป่าอนุรักษ์เพื่อการสงวน และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นผืนป่าตะวันตกที่เป็นต้นกำเนิดของแหล่งมรดกโลก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน อากาศจะหนาว และเย็นมากในระหว่างเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ พรรณไม้ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบ ป่าผลัดใบ สัตว์ป่าที่พบเห็น ได้แก่ เสือลายเมฆ สมเสร็จ เลียงผา เหยี่ยว นกกระทุง ได้รับการประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เมื่อ พ.ศ. 2532น้ำตกทีลอซู คำว่า ทีลอซู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า น้ำตกดำ


ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ห่างจากที่ทำการเขตฯ 3 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เกิดจากลำห้วยกล้อท้อ ลำน้ำทั้งสายตกลงสู่หน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลแรงตลอดปี ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500 เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีความสูงประมาณ 300 เมตร ล้อมรอบด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามมาก ติดอันดับ 1 ใน 6 ของโลก ซึ่งการเดินทางไปชมน้ำตกแต่ละชั้นบางครั้งจะต้องเดินผ่านสายน้ำตก ควรใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ


การเดินทางรถยนต์ จากอำเภออุ้มผางใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-แม่สอด ถึงหลักกิโลเมตรที่ 161 มีทางแยกซ้ายที่บ้านแม่กลองใหม่ไปด่านเดลอ หรือจุดตรวจ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร (สำหรับนักท่องเที่ยวที่ขับรถเข้าน้ำตกทีลอซูต้องติดต่อขอรับใบอนุญาตเข้าที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง (สป. 7) ได้ที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผางก่อนทุกครั้ง นักท่องเที่ยวต้องยื่น สป. 7 ที่ด่านเดลอ) จากนั้นเดินทางไปตามถนนลูกรังอีก 26 กิโลเมตร ถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 3 ชั่วโมง

เส้นทางช่วงนี้เป็นทางดิน ควรใช้รถปิคอัพ หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีสมรรถนะสูงเท่านั้น ในฤดูฝนรถอาจเข้าไม่ได้ และจากที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร จึงถึงตัวน้ำตกทีลอซูล่องแพ นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อผ่านบริษัททัวร์ที่จัดล่องแพในอำเภออุ้มผางได้

น้ำตกทีลอจ่อ หรือ น้ำตกสายฝน ห่างจากอำเภออุ้มผาง 3 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายอุ้มผาง-บ้านปะละทะ ถึงแยกขวามือมีทางเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะพบน้ำตก ชั้นแรก มีความสูงประมาณ 80 เมตร อยู่บนหน้าผาสูงชัน ชั้นที่ 2 ไหลจากหน้าผาสูงชันตกลงสู่แม่น้ำแม่กลอง สายน้ำแตกกระจายเป็นฝอยดูเหมือนสายฝน ทำให้บริเวณโดยรอบได้รับความชุ่มชื้นมีพืชประเภทมอส และตะไคร่น้ำขึ้นปกคลุมเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี น้ำตกทีลอจ่อนี้สามารถล่องเรือยางจากตัวอำเภอ

อุ้มผางไปตามลำน้ำแม่กลองถึงน้ำตกได้ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาทีน้ำตกเซปละ อยู่ในเขตบ้านเซปละ ตำบลแม่ละมุ้ง ห่างจากบ้านปะละทะ 3 กิโลเมตร เป็นน้ำตกภูเขาหินปูนที่ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีความกว้าง 10 เมตร ยาว 50 เมตร กระแสน้ำที่ตกลงกระทบโขดหินทำให้ดูคล้ายกับก้อนเมฆสีขาวที่มีความสวยงามน้ำตกทีลอเร มีพื้นที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เป็นน้ำตกที่อยู่บนโตรกผา มีลักษณะเป็นเพิงผาคล้ายถ้ำ ริมลำน้ำแม่กลอง โดยมีลำน้ำสายใหญ่ไหลผ่านหน้าผาสูงชันตกลงสู่ลำน้ำแม่กลอง มีความสูง 80 เมตร ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม น้ำตกทีลอเรเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการเดินทางลักษณะการผจญภัย และศึกษาธรรมชาติ

ควรใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-บ้านปะละทะ เริ่มต้นจากหมู่บ้านกระเหรี่ยงปะละทะด้วยการล่องเรือยางไปตามลำน้ำแม่กลองใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 วัน หมายเหตุ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณ์ในการพักค้างแรมระหว่างทาง 1 คืน และต้องเตรียมอาหารไปเองดอยหัวหมด อยู่ในเขตบ้านอุ้มผาง เป็นภูเขาหินปูนที่ทอดเป็นแนวยาวหลายลูกติดต่อกัน มีความยาว 30 กิโลเมตร กว้าง 2 กิโลเมตร บนภูเขานี้จะไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น แต่จะมีต้นหญ้าเตี้ย ๆ ขึ้นอยู่ทั่วไป เช่น ปรง ดอกเทียน และดอกไม้ป่าที่ขึ้นปกคลุมจะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงฤดูฝนรวมทั้งมีโขดหินเป็นระยะ

หากมองจากด้านล่างขึ้นไปจะเห็นเหมือนพรม สีเขียวแซมด้วยโขดหิน ต้นไม้ และดอกไม้เป็นแห่ง ๆ หากขึ้นไปบนยอดเขาจะมองเห็นหมู่บ้านอุ้มผาง และทิวเขาสลับซับซ้อนกัน โดยรอบมีทิวทัศน์สวยงาม มีจุดชมวิวเหมาะที่จะดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก และดูทะเลหมอกในยามเช้า (ในช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาวจะมีทะเลหมอกที่สวยงาม) การเดินทาง ใช้เส้นทางอุ้มผาง-บ้านปะละทะ ประมาณ 10 กิโลเมตร ถึงดอยหัวหมด มีจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ดังกล่าวได้สวยงาม 2 จุด จุดแรก

บริเวณกิโลเมตรที่ 9 โดยต้องเดินขึ้นภูเขาไปประมาณ 20 นาที จุดที่ 2. บริเวณกิโลเมตรที่ 10 มีทางแยกซ้ายไปลานจอดรถ และเดินเท้าไปอีก 5 นาที ควรไปถึงดอยหัวหมดก่อน พระอาทิตย์ขึ้นราว 05.00-06.00 น. อากาศบนดอยค่อนข้างเย็น มีลมพัดตลอดเวลาถ้ำตะโค๊ะบิิ อยู่ในเขตบ้านแม่กลอง ลักษณะถ้ำมีทางเดินกว้างลงไปเป็นชั้น ๆ ข้างในมีทางแยกหลายทางเป็นถ้ำขนาดใหญ่

เพดานถ้ำสูง มีหินงอก หินย้อยสวยงาม และสามารถเดินทะลุถ้ำมาออกที่บ้านแม่กลองใหม่ ความลึกของถ้ำประมาณ 3 กิโลเมตร การเดินทาง จากอำเภออุ้มผางใช้เส้นทางสายแม่กลองใหม่-น้ำตกทีลอซู ไปประมาณ 3 กิโลเมตรสถานที่พักเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางได้จัดสถานที่ตั้งเต็นท์ไว้ นักท่องเที่ยวจะนำเต็นท์ไปเอง เสียค่ากางเต็นท์ 20 บาท/คน/คืน หรือติดต่อขอเช่าเต็นท์ได้ที่เขตฯ และเตรียมอาหารมาเอง โดยทางเขตฯ มีอุปกรณ์สำหรับการทำอาหารให้ ติดต่อรายละเอียดได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก 63170


การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ กำแพงเพชร ถึงจังหวัดตาก รวมระยะทาง 410 เมตร โดยก่อนถึงตาก 7 กิโลเมตร ให้แยกเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 105 สายตาก-แม่สอด สู่อำเภอแม่สอดระยะทาง 88 กิโลเมตร แล้วเดินทางต่อโดยใช้เส้นทางหมายเลข 1090 สายแม่สอด-อุ้มผาง ระยะทาง 164 กิโลเมตร เข้าสู้อำเภออุ้มผางรวมระยะทาง 689 กิโลเมตรกิจกรรมในอำเภออุ้มผางเส้นทางศึกษาวิถีชีวิตชาวเขาบ้านกะเหรี่ยงปะละทะ เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่เก่าแก่ ตั้งอยู่ริมลำน้ำแม่กลอง ในเขตอำเภออุ้มผาง เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนา

มีไฟฟ้าใช้ สถานีอนามัย และโรงเรียน ชาวกะเหรี่ยงที่นี่ยังนิยมการแต่งกายแบบวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง แต่ละบ้านจะมีหูกทอผ้า (เครื่องทอผ้า) ใช้กันเองในหมู่บ้าน สัตว์ที่เลี้ยงไว้ เช่น หมู และไก่ เพื่อสำหรับใช้เป็นอาหาร และเลี้ยงช้างไว้เป็นพาหนะในการเดินทาง และขนส่ง ชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม การเดินทาง จากอุ้มผางสามารถใช้เส้นทางอุ้มผาง-บ้านปะละทะ ประมาณ 27 กิโลเมตร ถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงปะละทะ และจากบ้านปะละทะสามารถเดินป่า

หรือขี่ช้างไปบ้านกระเหรี่ยงโคทะ และน้ำตกทีลอซูได้ ทั้งยังเป็นจุดล่องเรือยางตามลำน้ำแม่กลองไปน้ำตกทีลอเรบ้านกะเหรี่ยง ทิโพจิ เป็นหมู่บ้านที่มีวัฒนธรรม และยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมด้วยการสร้างบ้านที่หลังคามุงด้วยวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ใบไม้ และเปลือกไม้ หมู่บ้านกะเหรี่ยงอยู่ในป่าลึก ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น การทำนา การทอผ้า และการเลี้ยงช้างไว้เป็นพาหนะ การเดินทาง ต้องเดินเท้า หรือนั่งช้างเข้าไปเท่านั้น บ้านกะเหรี่ยงฤาษีเลตองคุ

เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่นับถือฤาษี มีประเพณีที่แตกต่างจากกะเหรี่ยงทั่ว ๆ ไป งานประเพณีที่สำคัญคือ การจุดไฟบูชาอาจารย์ฤาษีในราวเดือนธันวาคมของทุกปี ฤาษีจะพำนักในวัด และมีของสำคัญคือ งาช้างโบราณมีอายุกว่า 400 ปี แกะสลักเป็นรูปพระพุทธเจ้านั่งปางสมาธิโดยรอบจากโคนถึงปลายงา การเดินทาง ใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-แม่กลองใหม่ ถึงบ้านกะเหรี่ยงเปิ่งเคลิ่น จากจุดนี้ไปเป็นเส้นทางลำลองโดยต้องเดินเท้าเข้าไปเป็นระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร ไปจนถึงบ้านกระเหรี่ยงฤาษีเลตองคุ นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และต้องทำหนังสือขออนุญาตก่อนล่วงหน้า 1 เดือน ได้ที่

กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ 347 โทร. 0 5556 1008 (ไม่แนะนำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเอง)เดินป่า และนั่งช้างท่าทราย-น้ำตกทีลอซู นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือยางไปตามลำน้ำแม่กลองเริ่มจากอุ้มผางไปขึ้นที่ท่าทราย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง แล้วเดินเท้าไปน้ำตกทีลอซู เส้นท่าทราย-น้ำตกทีลอซู ใช้เวลา 3 ชั่วโมง หรือจะนั่งเรือไปขึ้นที่แก่งมอกีโด้ แล้วจะเดินเท้า หรือจะนั่งช้างไปน้ำตกทีลอซู ใช้เวลา 4 ชั่วโมง หรือสามารถที่จะเดินเท้าจากบ้านเดลอถึงน้ำตกทีลอซู ระยะทาง 25 กิโลเมตร ใช้เวลา 7 ชั่วโมงปะละทะ-โคทะ-ทีลอซู เริ่มต้นเดินทางจากบ้านปะละทะเข้าน้ำตกทีลอซู ระยะทาง 25 กิโลเมตร ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ระหว่างทางแวะพักค้างแรมที่บ้านโคทะได้ เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงกลางป่าที่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเลี้ยงช้างน้ำตกทีลอเร-บ้านปะละทะ

เป็นเส้นทางเดินกลับจากน้ำตกทีลอเร ผ่านน้ำตกนิรนาม ห้วยดินแดง น้ำตกเซปละ บ้านเซปละถึงบ้านปะละทะแล้วต้องเดินผ่านป่าทึบ สลับกับการขึ้นเขาลงเขา อาจพบเห็นสัตว์ป่าได้ ควรนั่งช้างสลับกับการเดินป่า ระยะทาง 30 กิโลเมตร ใช้เวลา 8-10 ชั่วโมง หมายเหตุ นักท่องต้องเตรียมอุปกรณ์ในการพักค้างแรมในป่า 1 คืน และเตรียมอาหารไปเองหมายเหตุ นักท่องเที่ยวที่สนใจเส้นทางเดินป่าสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผาง โทร. 0 5556 1338ล่องแก่งแม่น้ำแม่กลองอุ้มผาง-น้ำตกทีลอซู เริ่มต้นจากตัวอำเภออุ้มผาง ไปตามลำห้วยอุ้มผางออกสู่แม่น้ำแม่กลอง ผ่านธรรมชาติที่สวยงาม ถึง น้ำตกทีลอจ่อ เป็นน้ำตกที่ไหลมาจากยอดผาสูงชัน น้ำตกแตกกระเซ็นเป็นละอองคล้ายสายฝน และเป็นจุดพักเล่นน้ำอีกแห่งหนึ่ง

โดยล่องเรือผ่านธารน้ำร้อนจนถึง แก่งตะโค๊ะบิ สายน้ำจะไหลเชี่ยวเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว ผ่านผาเลือด ผาผึ้ง ผาบ่อ ถึงท่าทราย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์ที่มีสภาพดี มีสมรรถนะสูง ใช้เวลาไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ประมาณ 45 นาที และจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ต้องเดินเท้าไปน้ำตกทีลอซู ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ในช่วงฤดูฝนเส้นทางรถยนต์จะปิดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน-30 พฤศจิกายนของทุกปี นักท่องเที่ยวสามารถพักค้างแรมได้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง โดยติดต่อผ่านชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผาง โทร. 0 5556 1337

บ้านกะเหรี่ยงปะละทะ-น้ำตกทีลอเร เริ่มต้นจากบ้านปะละทะผ่านบ้านกะเหรี่ยงโคทะ ริมสองฝั่งน้ำสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ใหญ่ การเดินทางอาจพบสัตว์ป่าได้ การเดินทางไปน้ำตกทีลอเรจะต้องล่องแก่งผ่านแก่งต่าง ๆ แก่งแรกที่พบคือ แก่งเลเกติ เป็นแก่งใหญ่ และยาวติดต่อกันหลายกิโลเมตร ผ่านน้ำตกเล็ก ๆ ไปจนถึง แก่งคนมอง สายน้ำไหลเชี่ยว ลำน้ำเต็มไปด้วยโขดหิน จนถึงแก่งสุดท้ายคือ แก่งกะซอจิ๊เล ล่องเรือไปจนถึงเวิ้งน้ำไหลโค้งเข้าสู่เพิงผาคล้ายถ้ำริมน้ำ มีสายน้ำใหญ่ตกจากหน้าผาเขาหินปูนสูงชันลงสู่ลำน้ำแม่กลองสวยงาม คือ น้ำตกทีลอเร เป็นจุดปลายทางของการล่องแก่งเรือยางในการผจญภัยในลำน้ำแม่กลอง ความยากระดับ 3-4 หมายเหตุ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณ์ในการพักค้างแรมในป่า 2 คืน

และเตรียมอาหารไปเองช่วงเวลาที่เหมาะสมในการล่องแพ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-เดือนพฤษภาคม การล่องแพช่วงฤดูฝนจะมีอันตรายมาก เนื่องจากมีกระแสน้ำเชี่ยว และระดับน้ำลึกทำให้การบังคับแพลำบากจึงไม่ควรล่องแพหน้าฝนอย่างเด็ดขาดการเตรียมตัวสำหรับการล่องแพ แม้ว่าการล่องแพตามฤดูกาลที่แนะนำจะไม่มีอันตรายจากธรรมชาติ เนื่องจากกระแสน้ำไม่เชี่ยว และระดับน้ำไม่ลึก อีกทั้งลำห้วยแม่กลองไม่กว้างมาก ฝั่งทั้งสองอยู่ห่างจากแพข้างละ 8-10 เมตรเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวควรจะระวังในขณะล่องแพ และเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อการล่องแพที่สนุกสนาน และปลอดภัย ดังนี้- สวมเสื้อผ้า และรองเท้าแบบสบาย ๆ ไม่ควรหนา และรัดจนเกินไป- สวมหมวกกันแดด-

ควรมีเสื้อชูชีพโดยเฉพาะคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น- เตรียมเชือกมนิลายาวประมาณ 30-50 เมตร เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน- กระเป๋ากันน้ำ หรือถุงพลาสติกสำหรับใส่กล้องถ่ายรูป- ถุงสำหรับใส่เศษขยะเพื่อนำมาทิ้งบนบกการติดต่อล่องแพสามารถติดต่อได้กับบริษัททัวร์ สถานที่พักในอำเภออุ้มผาง หรืออาจติดต่อผ่านบริษัทนำเที่ยว ต่าง ๆ ได้ ค่าใช้จ่ายในการล่องแพอาจเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนคน และระยะเวลาการล่องแพข้อควรปฏิบัติในการเดินทางท่องเที่ยวอุ้มผางการเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง หรือน้ำตกทีลอซู นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องดำเนินการขออนุญาตก่อน

โดยผ่านการประทับตรา สป. 7 จากกรมป่าไม้ (แบบฟอร์มดังกล่าวสามารถติดต่อผ่านชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผาง) เพราะพื้นที่นี้ไม่ใช่พื้นที่ท่องเที่ยว เป็นการอนุญาตให้เข้าไปในฐานะผู้ศึกษาธรรมชาติ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเทศกาลวันหยุดจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเขตอำเภออุ้มผางโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น้ำตกทีลอซูเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาความแออัดในแหล่งธรรมชาติ ตลอดจนปัญหาเรื่องขยะรวมถึงห้องสุขาไม่เพียงพอ และถนนเสียหาย

ตาก - น้ำตกทีลอซู

ตาก : น้ำตกทีลอซู ล่องเรือ ทีลอซู

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางมีพื้นที่ 1,619,280 ไร่ เป็นเขตป่าอนุรักษ์เพื่อการสงวน และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นผืนป่าตะวันตกที่เป็นต้นกำเนิดของแหล่งมรดกโลก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน อากาศจะหนาว และเย็นมากในระหว่างเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ พรรณไม้ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบ ป่าผลัดใบ สัตว์ป่าที่พบเห็น ได้แก่ เสือลายเมฆ สมเสร็จ เลียงผา เหยี่ยว นกกระทุง ได้รับการประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เมื่อ พ.ศ. 2532น้ำตกทีลอซู คำว่า ทีลอซู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า น้ำตกดำ


ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ห่างจากที่ทำการเขตฯ 3 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เกิดจากลำห้วยกล้อท้อ ลำน้ำทั้งสายตกลงสู่หน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลแรงตลอดปี ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500 เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีความสูงประมาณ 300 เมตร ล้อมรอบด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามมาก ติดอันดับ 1 ใน 6 ของโลก ซึ่งการเดินทางไปชมน้ำตกแต่ละชั้นบางครั้งจะต้องเดินผ่านสายน้ำตก ควรใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ


การเดินทางรถยนต์ จากอำเภออุ้มผางใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-แม่สอด ถึงหลักกิโลเมตรที่ 161 มีทางแยกซ้ายที่บ้านแม่กลองใหม่ไปด่านเดลอ หรือจุดตรวจ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร (สำหรับนักท่องเที่ยวที่ขับรถเข้าน้ำตกทีลอซูต้องติดต่อขอรับใบอนุญาตเข้าที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง (สป. 7) ได้ที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผางก่อนทุกครั้ง นักท่องเที่ยวต้องยื่น สป. 7 ที่ด่านเดลอ) จากนั้นเดินทางไปตามถนนลูกรังอีก 26 กิโลเมตร ถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 3 ชั่วโมง

เส้นทางช่วงนี้เป็นทางดิน ควรใช้รถปิคอัพ หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีสมรรถนะสูงเท่านั้น ในฤดูฝนรถอาจเข้าไม่ได้ และจากที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร จึงถึงตัวน้ำตกทีลอซูล่องแพ นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อผ่านบริษัททัวร์ที่จัดล่องแพในอำเภออุ้มผางได้

น้ำตกทีลอจ่อ หรือ น้ำตกสายฝน ห่างจากอำเภออุ้มผาง 3 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายอุ้มผาง-บ้านปะละทะ ถึงแยกขวามือมีทางเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะพบน้ำตก ชั้นแรก มีความสูงประมาณ 80 เมตร อยู่บนหน้าผาสูงชัน ชั้นที่ 2 ไหลจากหน้าผาสูงชันตกลงสู่แม่น้ำแม่กลอง สายน้ำแตกกระจายเป็นฝอยดูเหมือนสายฝน ทำให้บริเวณโดยรอบได้รับความชุ่มชื้นมีพืชประเภทมอส และตะไคร่น้ำขึ้นปกคลุมเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี น้ำตกทีลอจ่อนี้สามารถล่องเรือยางจากตัวอำเภอ

อุ้มผางไปตามลำน้ำแม่กลองถึงน้ำตกได้ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาทีน้ำตกเซปละ อยู่ในเขตบ้านเซปละ ตำบลแม่ละมุ้ง ห่างจากบ้านปะละทะ 3 กิโลเมตร เป็นน้ำตกภูเขาหินปูนที่ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีความกว้าง 10 เมตร ยาว 50 เมตร กระแสน้ำที่ตกลงกระทบโขดหินทำให้ดูคล้ายกับก้อนเมฆสีขาวที่มีความสวยงามน้ำตกทีลอเร มีพื้นที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เป็นน้ำตกที่อยู่บนโตรกผา มีลักษณะเป็นเพิงผาคล้ายถ้ำ ริมลำน้ำแม่กลอง โดยมีลำน้ำสายใหญ่ไหลผ่านหน้าผาสูงชันตกลงสู่ลำน้ำแม่กลอง มีความสูง 80 เมตร ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม น้ำตกทีลอเรเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการเดินทางลักษณะการผจญภัย และศึกษาธรรมชาติ

ควรใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-บ้านปะละทะ เริ่มต้นจากหมู่บ้านกระเหรี่ยงปะละทะด้วยการล่องเรือยางไปตามลำน้ำแม่กลองใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 วัน หมายเหตุ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณ์ในการพักค้างแรมระหว่างทาง 1 คืน และต้องเตรียมอาหารไปเองดอยหัวหมด อยู่ในเขตบ้านอุ้มผาง เป็นภูเขาหินปูนที่ทอดเป็นแนวยาวหลายลูกติดต่อกัน มีความยาว 30 กิโลเมตร กว้าง 2 กิโลเมตร บนภูเขานี้จะไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น แต่จะมีต้นหญ้าเตี้ย ๆ ขึ้นอยู่ทั่วไป เช่น ปรง ดอกเทียน และดอกไม้ป่าที่ขึ้นปกคลุมจะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงฤดูฝนรวมทั้งมีโขดหินเป็นระยะ

หากมองจากด้านล่างขึ้นไปจะเห็นเหมือนพรม สีเขียวแซมด้วยโขดหิน ต้นไม้ และดอกไม้เป็นแห่ง ๆ หากขึ้นไปบนยอดเขาจะมองเห็นหมู่บ้านอุ้มผาง และทิวเขาสลับซับซ้อนกัน โดยรอบมีทิวทัศน์สวยงาม มีจุดชมวิวเหมาะที่จะดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก และดูทะเลหมอกในยามเช้า (ในช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาวจะมีทะเลหมอกที่สวยงาม) การเดินทาง ใช้เส้นทางอุ้มผาง-บ้านปะละทะ ประมาณ 10 กิโลเมตร ถึงดอยหัวหมด มีจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ดังกล่าวได้สวยงาม 2 จุด จุดแรก

บริเวณกิโลเมตรที่ 9 โดยต้องเดินขึ้นภูเขาไปประมาณ 20 นาที จุดที่ 2. บริเวณกิโลเมตรที่ 10 มีทางแยกซ้ายไปลานจอดรถ และเดินเท้าไปอีก 5 นาที ควรไปถึงดอยหัวหมดก่อน พระอาทิตย์ขึ้นราว 05.00-06.00 น. อากาศบนดอยค่อนข้างเย็น มีลมพัดตลอดเวลาถ้ำตะโค๊ะบิิ อยู่ในเขตบ้านแม่กลอง ลักษณะถ้ำมีทางเดินกว้างลงไปเป็นชั้น ๆ ข้างในมีทางแยกหลายทางเป็นถ้ำขนาดใหญ่

เพดานถ้ำสูง มีหินงอก หินย้อยสวยงาม และสามารถเดินทะลุถ้ำมาออกที่บ้านแม่กลองใหม่ ความลึกของถ้ำประมาณ 3 กิโลเมตร การเดินทาง จากอำเภออุ้มผางใช้เส้นทางสายแม่กลองใหม่-น้ำตกทีลอซู ไปประมาณ 3 กิโลเมตรสถานที่พักเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางได้จัดสถานที่ตั้งเต็นท์ไว้ นักท่องเที่ยวจะนำเต็นท์ไปเอง เสียค่ากางเต็นท์ 20 บาท/คน/คืน หรือติดต่อขอเช่าเต็นท์ได้ที่เขตฯ และเตรียมอาหารมาเอง โดยทางเขตฯ มีอุปกรณ์สำหรับการทำอาหารให้ ติดต่อรายละเอียดได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก 63170


การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ กำแพงเพชร ถึงจังหวัดตาก รวมระยะทาง 410 เมตร โดยก่อนถึงตาก 7 กิโลเมตร ให้แยกเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 105 สายตาก-แม่สอด สู่อำเภอแม่สอดระยะทาง 88 กิโลเมตร แล้วเดินทางต่อโดยใช้เส้นทางหมายเลข 1090 สายแม่สอด-อุ้มผาง ระยะทาง 164 กิโลเมตร เข้าสู้อำเภออุ้มผางรวมระยะทาง 689 กิโลเมตรกิจกรรมในอำเภออุ้มผางเส้นทางศึกษาวิถีชีวิตชาวเขาบ้านกะเหรี่ยงปะละทะ เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่เก่าแก่ ตั้งอยู่ริมลำน้ำแม่กลอง ในเขตอำเภออุ้มผาง เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนา

มีไฟฟ้าใช้ สถานีอนามัย และโรงเรียน ชาวกะเหรี่ยงที่นี่ยังนิยมการแต่งกายแบบวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง แต่ละบ้านจะมีหูกทอผ้า (เครื่องทอผ้า) ใช้กันเองในหมู่บ้าน สัตว์ที่เลี้ยงไว้ เช่น หมู และไก่ เพื่อสำหรับใช้เป็นอาหาร และเลี้ยงช้างไว้เป็นพาหนะในการเดินทาง และขนส่ง ชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม การเดินทาง จากอุ้มผางสามารถใช้เส้นทางอุ้มผาง-บ้านปะละทะ ประมาณ 27 กิโลเมตร ถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงปะละทะ และจากบ้านปะละทะสามารถเดินป่า

หรือขี่ช้างไปบ้านกระเหรี่ยงโคทะ และน้ำตกทีลอซูได้ ทั้งยังเป็นจุดล่องเรือยางตามลำน้ำแม่กลองไปน้ำตกทีลอเรบ้านกะเหรี่ยง ทิโพจิ เป็นหมู่บ้านที่มีวัฒนธรรม และยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมด้วยการสร้างบ้านที่หลังคามุงด้วยวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ใบไม้ และเปลือกไม้ หมู่บ้านกะเหรี่ยงอยู่ในป่าลึก ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น การทำนา การทอผ้า และการเลี้ยงช้างไว้เป็นพาหนะ การเดินทาง ต้องเดินเท้า หรือนั่งช้างเข้าไปเท่านั้น บ้านกะเหรี่ยงฤาษีเลตองคุ

เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่นับถือฤาษี มีประเพณีที่แตกต่างจากกะเหรี่ยงทั่ว ๆ ไป งานประเพณีที่สำคัญคือ การจุดไฟบูชาอาจารย์ฤาษีในราวเดือนธันวาคมของทุกปี ฤาษีจะพำนักในวัด และมีของสำคัญคือ งาช้างโบราณมีอายุกว่า 400 ปี แกะสลักเป็นรูปพระพุทธเจ้านั่งปางสมาธิโดยรอบจากโคนถึงปลายงา การเดินทาง ใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-แม่กลองใหม่ ถึงบ้านกะเหรี่ยงเปิ่งเคลิ่น จากจุดนี้ไปเป็นเส้นทางลำลองโดยต้องเดินเท้าเข้าไปเป็นระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร ไปจนถึงบ้านกระเหรี่ยงฤาษีเลตองคุ นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และต้องทำหนังสือขออนุญาตก่อนล่วงหน้า 1 เดือน ได้ที่

กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ 347 โทร. 0 5556 1008 (ไม่แนะนำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเอง)เดินป่า และนั่งช้างท่าทราย-น้ำตกทีลอซู นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือยางไปตามลำน้ำแม่กลองเริ่มจากอุ้มผางไปขึ้นที่ท่าทราย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง แล้วเดินเท้าไปน้ำตกทีลอซู เส้นท่าทราย-น้ำตกทีลอซู ใช้เวลา 3 ชั่วโมง หรือจะนั่งเรือไปขึ้นที่แก่งมอกีโด้ แล้วจะเดินเท้า หรือจะนั่งช้างไปน้ำตกทีลอซู ใช้เวลา 4 ชั่วโมง หรือสามารถที่จะเดินเท้าจากบ้านเดลอถึงน้ำตกทีลอซู ระยะทาง 25 กิโลเมตร ใช้เวลา 7 ชั่วโมงปะละทะ-โคทะ-ทีลอซู เริ่มต้นเดินทางจากบ้านปะละทะเข้าน้ำตกทีลอซู ระยะทาง 25 กิโลเมตร ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ระหว่างทางแวะพักค้างแรมที่บ้านโคทะได้ เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงกลางป่าที่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเลี้ยงช้างน้ำตกทีลอเร-บ้านปะละทะ

เป็นเส้นทางเดินกลับจากน้ำตกทีลอเร ผ่านน้ำตกนิรนาม ห้วยดินแดง น้ำตกเซปละ บ้านเซปละถึงบ้านปะละทะแล้วต้องเดินผ่านป่าทึบ สลับกับการขึ้นเขาลงเขา อาจพบเห็นสัตว์ป่าได้ ควรนั่งช้างสลับกับการเดินป่า ระยะทาง 30 กิโลเมตร ใช้เวลา 8-10 ชั่วโมง หมายเหตุ นักท่องต้องเตรียมอุปกรณ์ในการพักค้างแรมในป่า 1 คืน และเตรียมอาหารไปเองหมายเหตุ นักท่องเที่ยวที่สนใจเส้นทางเดินป่าสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผาง โทร. 0 5556 1338ล่องแก่งแม่น้ำแม่กลองอุ้มผาง-น้ำตกทีลอซู เริ่มต้นจากตัวอำเภออุ้มผาง ไปตามลำห้วยอุ้มผางออกสู่แม่น้ำแม่กลอง ผ่านธรรมชาติที่สวยงาม ถึง น้ำตกทีลอจ่อ เป็นน้ำตกที่ไหลมาจากยอดผาสูงชัน น้ำตกแตกกระเซ็นเป็นละอองคล้ายสายฝน และเป็นจุดพักเล่นน้ำอีกแห่งหนึ่ง

โดยล่องเรือผ่านธารน้ำร้อนจนถึง แก่งตะโค๊ะบิ สายน้ำจะไหลเชี่ยวเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว ผ่านผาเลือด ผาผึ้ง ผาบ่อ ถึงท่าทราย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์ที่มีสภาพดี มีสมรรถนะสูง ใช้เวลาไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ประมาณ 45 นาที และจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ต้องเดินเท้าไปน้ำตกทีลอซู ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ในช่วงฤดูฝนเส้นทางรถยนต์จะปิดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน-30 พฤศจิกายนของทุกปี นักท่องเที่ยวสามารถพักค้างแรมได้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง โดยติดต่อผ่านชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผาง โทร. 0 5556 1337

บ้านกะเหรี่ยงปะละทะ-น้ำตกทีลอเร เริ่มต้นจากบ้านปะละทะผ่านบ้านกะเหรี่ยงโคทะ ริมสองฝั่งน้ำสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ใหญ่ การเดินทางอาจพบสัตว์ป่าได้ การเดินทางไปน้ำตกทีลอเรจะต้องล่องแก่งผ่านแก่งต่าง ๆ แก่งแรกที่พบคือ แก่งเลเกติ เป็นแก่งใหญ่ และยาวติดต่อกันหลายกิโลเมตร ผ่านน้ำตกเล็ก ๆ ไปจนถึง แก่งคนมอง สายน้ำไหลเชี่ยว ลำน้ำเต็มไปด้วยโขดหิน จนถึงแก่งสุดท้ายคือ แก่งกะซอจิ๊เล ล่องเรือไปจนถึงเวิ้งน้ำไหลโค้งเข้าสู่เพิงผาคล้ายถ้ำริมน้ำ มีสายน้ำใหญ่ตกจากหน้าผาเขาหินปูนสูงชันลงสู่ลำน้ำแม่กลองสวยงาม คือ น้ำตกทีลอเร เป็นจุดปลายทางของการล่องแก่งเรือยางในการผจญภัยในลำน้ำแม่กลอง ความยากระดับ 3-4 หมายเหตุ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณ์ในการพักค้างแรมในป่า 2 คืน

และเตรียมอาหารไปเองช่วงเวลาที่เหมาะสมในการล่องแพ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-เดือนพฤษภาคม การล่องแพช่วงฤดูฝนจะมีอันตรายมาก เนื่องจากมีกระแสน้ำเชี่ยว และระดับน้ำลึกทำให้การบังคับแพลำบากจึงไม่ควรล่องแพหน้าฝนอย่างเด็ดขาดการเตรียมตัวสำหรับการล่องแพ แม้ว่าการล่องแพตามฤดูกาลที่แนะนำจะไม่มีอันตรายจากธรรมชาติ เนื่องจากกระแสน้ำไม่เชี่ยว และระดับน้ำไม่ลึก อีกทั้งลำห้วยแม่กลองไม่กว้างมาก ฝั่งทั้งสองอยู่ห่างจากแพข้างละ 8-10 เมตรเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวควรจะระวังในขณะล่องแพ และเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อการล่องแพที่สนุกสนาน และปลอดภัย ดังนี้- สวมเสื้อผ้า และรองเท้าแบบสบาย ๆ ไม่ควรหนา และรัดจนเกินไป- สวมหมวกกันแดด-

ควรมีเสื้อชูชีพโดยเฉพาะคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น- เตรียมเชือกมนิลายาวประมาณ 30-50 เมตร เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน- กระเป๋ากันน้ำ หรือถุงพลาสติกสำหรับใส่กล้องถ่ายรูป- ถุงสำหรับใส่เศษขยะเพื่อนำมาทิ้งบนบกการติดต่อล่องแพสามารถติดต่อได้กับบริษัททัวร์ สถานที่พักในอำเภออุ้มผาง หรืออาจติดต่อผ่านบริษัทนำเที่ยว ต่าง ๆ ได้ ค่าใช้จ่ายในการล่องแพอาจเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนคน และระยะเวลาการล่องแพข้อควรปฏิบัติในการเดินทางท่องเที่ยวอุ้มผางการเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง หรือน้ำตกทีลอซู นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องดำเนินการขออนุญาตก่อน

โดยผ่านการประทับตรา สป. 7 จากกรมป่าไม้ (แบบฟอร์มดังกล่าวสามารถติดต่อผ่านชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผาง) เพราะพื้นที่นี้ไม่ใช่พื้นที่ท่องเที่ยว เป็นการอนุญาตให้เข้าไปในฐานะผู้ศึกษาธรรมชาติ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเทศกาลวันหยุดจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเขตอำเภออุ้มผางโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น้ำตกทีลอซูเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาความแออัดในแหล่งธรรมชาติ ตลอดจนปัญหาเรื่องขยะรวมถึงห้องสุขาไม่เพียงพอ และถนนเสียหาย
ตาก : น้ำตกทีลอซู ล่องเรือ ทีลอซู

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางมีพื้นที่ 1,619,280 ไร่ เป็นเขตป่าอนุรักษ์เพื่อการสงวน และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นผืนป่าตะวันตกที่เป็นต้นกำเนิดของแหล่งมรดกโลก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน อากาศจะหนาว และเย็นมากในระหว่างเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ พรรณไม้ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบ ป่าผลัดใบ สัตว์ป่าที่พบเห็น ได้แก่ เสือลายเมฆ สมเสร็จ เลียงผา เหยี่ยว นกกระทุง ได้รับการประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เมื่อ พ.ศ. 2532น้ำตกทีลอซู คำว่า ทีลอซู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า น้ำตกดำ


ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ห่างจากที่ทำการเขตฯ 3 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เกิดจากลำห้วยกล้อท้อ ลำน้ำทั้งสายตกลงสู่หน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลแรงตลอดปี ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500 เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีความสูงประมาณ 300 เมตร ล้อมรอบด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามมาก ติดอันดับ 1 ใน 6 ของโลก ซึ่งการเดินทางไปชมน้ำตกแต่ละชั้นบางครั้งจะต้องเดินผ่านสายน้ำตก ควรใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ


การเดินทางรถยนต์ จากอำเภออุ้มผางใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-แม่สอด ถึงหลักกิโลเมตรที่ 161 มีทางแยกซ้ายที่บ้านแม่กลองใหม่ไปด่านเดลอ หรือจุดตรวจ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร (สำหรับนักท่องเที่ยวที่ขับรถเข้าน้ำตกทีลอซูต้องติดต่อขอรับใบอนุญาตเข้าที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง (สป. 7) ได้ที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผางก่อนทุกครั้ง นักท่องเที่ยวต้องยื่น สป. 7 ที่ด่านเดลอ) จากนั้นเดินทางไปตามถนนลูกรังอีก 26 กิโลเมตร ถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 3 ชั่วโมง

เส้นทางช่วงนี้เป็นทางดิน ควรใช้รถปิคอัพ หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีสมรรถนะสูงเท่านั้น ในฤดูฝนรถอาจเข้าไม่ได้ และจากที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร จึงถึงตัวน้ำตกทีลอซูล่องแพ นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อผ่านบริษัททัวร์ที่จัดล่องแพในอำเภออุ้มผางได้

น้ำตกทีลอจ่อ หรือ น้ำตกสายฝน ห่างจากอำเภออุ้มผาง 3 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายอุ้มผาง-บ้านปะละทะ ถึงแยกขวามือมีทางเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะพบน้ำตก ชั้นแรก มีความสูงประมาณ 80 เมตร อยู่บนหน้าผาสูงชัน ชั้นที่ 2 ไหลจากหน้าผาสูงชันตกลงสู่แม่น้ำแม่กลอง สายน้ำแตกกระจายเป็นฝอยดูเหมือนสายฝน ทำให้บริเวณโดยรอบได้รับความชุ่มชื้นมีพืชประเภทมอส และตะไคร่น้ำขึ้นปกคลุมเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี น้ำตกทีลอจ่อนี้สามารถล่องเรือยางจากตัวอำเภอ

อุ้มผางไปตามลำน้ำแม่กลองถึงน้ำตกได้ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาทีน้ำตกเซปละ อยู่ในเขตบ้านเซปละ ตำบลแม่ละมุ้ง ห่างจากบ้านปะละทะ 3 กิโลเมตร เป็นน้ำตกภูเขาหินปูนที่ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีความกว้าง 10 เมตร ยาว 50 เมตร กระแสน้ำที่ตกลงกระทบโขดหินทำให้ดูคล้ายกับก้อนเมฆสีขาวที่มีความสวยงามน้ำตกทีลอเร มีพื้นที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เป็นน้ำตกที่อยู่บนโตรกผา มีลักษณะเป็นเพิงผาคล้ายถ้ำ ริมลำน้ำแม่กลอง โดยมีลำน้ำสายใหญ่ไหลผ่านหน้าผาสูงชันตกลงสู่ลำน้ำแม่กลอง มีความสูง 80 เมตร ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม น้ำตกทีลอเรเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการเดินทางลักษณะการผจญภัย และศึกษาธรรมชาติ

ควรใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-บ้านปะละทะ เริ่มต้นจากหมู่บ้านกระเหรี่ยงปะละทะด้วยการล่องเรือยางไปตามลำน้ำแม่กลองใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 วัน หมายเหตุ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณ์ในการพักค้างแรมระหว่างทาง 1 คืน และต้องเตรียมอาหารไปเองดอยหัวหมด อยู่ในเขตบ้านอุ้มผาง เป็นภูเขาหินปูนที่ทอดเป็นแนวยาวหลายลูกติดต่อกัน มีความยาว 30 กิโลเมตร กว้าง 2 กิโลเมตร บนภูเขานี้จะไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น แต่จะมีต้นหญ้าเตี้ย ๆ ขึ้นอยู่ทั่วไป เช่น ปรง ดอกเทียน และดอกไม้ป่าที่ขึ้นปกคลุมจะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงฤดูฝนรวมทั้งมีโขดหินเป็นระยะ

หากมองจากด้านล่างขึ้นไปจะเห็นเหมือนพรม สีเขียวแซมด้วยโขดหิน ต้นไม้ และดอกไม้เป็นแห่ง ๆ หากขึ้นไปบนยอดเขาจะมองเห็นหมู่บ้านอุ้มผาง และทิวเขาสลับซับซ้อนกัน โดยรอบมีทิวทัศน์สวยงาม มีจุดชมวิวเหมาะที่จะดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก และดูทะเลหมอกในยามเช้า (ในช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาวจะมีทะเลหมอกที่สวยงาม) การเดินทาง ใช้เส้นทางอุ้มผาง-บ้านปะละทะ ประมาณ 10 กิโลเมตร ถึงดอยหัวหมด มีจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ดังกล่าวได้สวยงาม 2 จุด จุดแรก

บริเวณกิโลเมตรที่ 9 โดยต้องเดินขึ้นภูเขาไปประมาณ 20 นาที จุดที่ 2. บริเวณกิโลเมตรที่ 10 มีทางแยกซ้ายไปลานจอดรถ และเดินเท้าไปอีก 5 นาที ควรไปถึงดอยหัวหมดก่อน พระอาทิตย์ขึ้นราว 05.00-06.00 น. อากาศบนดอยค่อนข้างเย็น มีลมพัดตลอดเวลาถ้ำตะโค๊ะบิิ อยู่ในเขตบ้านแม่กลอง ลักษณะถ้ำมีทางเดินกว้างลงไปเป็นชั้น ๆ ข้างในมีทางแยกหลายทางเป็นถ้ำขนาดใหญ่

เพดานถ้ำสูง มีหินงอก หินย้อยสวยงาม และสามารถเดินทะลุถ้ำมาออกที่บ้านแม่กลองใหม่ ความลึกของถ้ำประมาณ 3 กิโลเมตร การเดินทาง จากอำเภออุ้มผางใช้เส้นทางสายแม่กลองใหม่-น้ำตกทีลอซู ไปประมาณ 3 กิโลเมตรสถานที่พักเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางได้จัดสถานที่ตั้งเต็นท์ไว้ นักท่องเที่ยวจะนำเต็นท์ไปเอง เสียค่ากางเต็นท์ 20 บาท/คน/คืน หรือติดต่อขอเช่าเต็นท์ได้ที่เขตฯ และเตรียมอาหารมาเอง โดยทางเขตฯ มีอุปกรณ์สำหรับการทำอาหารให้ ติดต่อรายละเอียดได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก 63170


การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ กำแพงเพชร ถึงจังหวัดตาก รวมระยะทาง 410 เมตร โดยก่อนถึงตาก 7 กิโลเมตร ให้แยกเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 105 สายตาก-แม่สอด สู่อำเภอแม่สอดระยะทาง 88 กิโลเมตร แล้วเดินทางต่อโดยใช้เส้นทางหมายเลข 1090 สายแม่สอด-อุ้มผาง ระยะทาง 164 กิโลเมตร เข้าสู้อำเภออุ้มผางรวมระยะทาง 689 กิโลเมตรกิจกรรมในอำเภออุ้มผางเส้นทางศึกษาวิถีชีวิตชาวเขาบ้านกะเหรี่ยงปะละทะ เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่เก่าแก่ ตั้งอยู่ริมลำน้ำแม่กลอง ในเขตอำเภออุ้มผาง เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนา

มีไฟฟ้าใช้ สถานีอนามัย และโรงเรียน ชาวกะเหรี่ยงที่นี่ยังนิยมการแต่งกายแบบวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง แต่ละบ้านจะมีหูกทอผ้า (เครื่องทอผ้า) ใช้กันเองในหมู่บ้าน สัตว์ที่เลี้ยงไว้ เช่น หมู และไก่ เพื่อสำหรับใช้เป็นอาหาร และเลี้ยงช้างไว้เป็นพาหนะในการเดินทาง และขนส่ง ชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม การเดินทาง จากอุ้มผางสามารถใช้เส้นทางอุ้มผาง-บ้านปะละทะ ประมาณ 27 กิโลเมตร ถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงปะละทะ และจากบ้านปะละทะสามารถเดินป่า

หรือขี่ช้างไปบ้านกระเหรี่ยงโคทะ และน้ำตกทีลอซูได้ ทั้งยังเป็นจุดล่องเรือยางตามลำน้ำแม่กลองไปน้ำตกทีลอเรบ้านกะเหรี่ยง ทิโพจิ เป็นหมู่บ้านที่มีวัฒนธรรม และยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมด้วยการสร้างบ้านที่หลังคามุงด้วยวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ใบไม้ และเปลือกไม้ หมู่บ้านกะเหรี่ยงอยู่ในป่าลึก ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น การทำนา การทอผ้า และการเลี้ยงช้างไว้เป็นพาหนะ การเดินทาง ต้องเดินเท้า หรือนั่งช้างเข้าไปเท่านั้น บ้านกะเหรี่ยงฤาษีเลตองคุ

เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่นับถือฤาษี มีประเพณีที่แตกต่างจากกะเหรี่ยงทั่ว ๆ ไป งานประเพณีที่สำคัญคือ การจุดไฟบูชาอาจารย์ฤาษีในราวเดือนธันวาคมของทุกปี ฤาษีจะพำนักในวัด และมีของสำคัญคือ งาช้างโบราณมีอายุกว่า 400 ปี แกะสลักเป็นรูปพระพุทธเจ้านั่งปางสมาธิโดยรอบจากโคนถึงปลายงา การเดินทาง ใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-แม่กลองใหม่ ถึงบ้านกะเหรี่ยงเปิ่งเคลิ่น จากจุดนี้ไปเป็นเส้นทางลำลองโดยต้องเดินเท้าเข้าไปเป็นระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร ไปจนถึงบ้านกระเหรี่ยงฤาษีเลตองคุ นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และต้องทำหนังสือขออนุญาตก่อนล่วงหน้า 1 เดือน ได้ที่

กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ 347 โทร. 0 5556 1008 (ไม่แนะนำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเอง)เดินป่า และนั่งช้างท่าทราย-น้ำตกทีลอซู นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือยางไปตามลำน้ำแม่กลองเริ่มจากอุ้มผางไปขึ้นที่ท่าทราย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง แล้วเดินเท้าไปน้ำตกทีลอซู เส้นท่าทราย-น้ำตกทีลอซู ใช้เวลา 3 ชั่วโมง หรือจะนั่งเรือไปขึ้นที่แก่งมอกีโด้ แล้วจะเดินเท้า หรือจะนั่งช้างไปน้ำตกทีลอซู ใช้เวลา 4 ชั่วโมง หรือสามารถที่จะเดินเท้าจากบ้านเดลอถึงน้ำตกทีลอซู ระยะทาง 25 กิโลเมตร ใช้เวลา 7 ชั่วโมงปะละทะ-โคทะ-ทีลอซู เริ่มต้นเดินทางจากบ้านปะละทะเข้าน้ำตกทีลอซู ระยะทาง 25 กิโลเมตร ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ระหว่างทางแวะพักค้างแรมที่บ้านโคทะได้ เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงกลางป่าที่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเลี้ยงช้างน้ำตกทีลอเร-บ้านปะละทะ

เป็นเส้นทางเดินกลับจากน้ำตกทีลอเร ผ่านน้ำตกนิรนาม ห้วยดินแดง น้ำตกเซปละ บ้านเซปละถึงบ้านปะละทะแล้วต้องเดินผ่านป่าทึบ สลับกับการขึ้นเขาลงเขา อาจพบเห็นสัตว์ป่าได้ ควรนั่งช้างสลับกับการเดินป่า ระยะทาง 30 กิโลเมตร ใช้เวลา 8-10 ชั่วโมง หมายเหตุ นักท่องต้องเตรียมอุปกรณ์ในการพักค้างแรมในป่า 1 คืน และเตรียมอาหารไปเองหมายเหตุ นักท่องเที่ยวที่สนใจเส้นทางเดินป่าสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผาง โทร. 0 5556 1338ล่องแก่งแม่น้ำแม่กลองอุ้มผาง-น้ำตกทีลอซู เริ่มต้นจากตัวอำเภออุ้มผาง ไปตามลำห้วยอุ้มผางออกสู่แม่น้ำแม่กลอง ผ่านธรรมชาติที่สวยงาม ถึง น้ำตกทีลอจ่อ เป็นน้ำตกที่ไหลมาจากยอดผาสูงชัน น้ำตกแตกกระเซ็นเป็นละอองคล้ายสายฝน และเป็นจุดพักเล่นน้ำอีกแห่งหนึ่ง

โดยล่องเรือผ่านธารน้ำร้อนจนถึง แก่งตะโค๊ะบิ สายน้ำจะไหลเชี่ยวเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว ผ่านผาเลือด ผาผึ้ง ผาบ่อ ถึงท่าทราย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์ที่มีสภาพดี มีสมรรถนะสูง ใช้เวลาไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ประมาณ 45 นาที และจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ต้องเดินเท้าไปน้ำตกทีลอซู ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ในช่วงฤดูฝนเส้นทางรถยนต์จะปิดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน-30 พฤศจิกายนของทุกปี นักท่องเที่ยวสามารถพักค้างแรมได้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง โดยติดต่อผ่านชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผาง โทร. 0 5556 1337

บ้านกะเหรี่ยงปะละทะ-น้ำตกทีลอเร เริ่มต้นจากบ้านปะละทะผ่านบ้านกะเหรี่ยงโคทะ ริมสองฝั่งน้ำสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ใหญ่ การเดินทางอาจพบสัตว์ป่าได้ การเดินทางไปน้ำตกทีลอเรจะต้องล่องแก่งผ่านแก่งต่าง ๆ แก่งแรกที่พบคือ แก่งเลเกติ เป็นแก่งใหญ่ และยาวติดต่อกันหลายกิโลเมตร ผ่านน้ำตกเล็ก ๆ ไปจนถึง แก่งคนมอง สายน้ำไหลเชี่ยว ลำน้ำเต็มไปด้วยโขดหิน จนถึงแก่งสุดท้ายคือ แก่งกะซอจิ๊เล ล่องเรือไปจนถึงเวิ้งน้ำไหลโค้งเข้าสู่เพิงผาคล้ายถ้ำริมน้ำ มีสายน้ำใหญ่ตกจากหน้าผาเขาหินปูนสูงชันลงสู่ลำน้ำแม่กลองสวยงาม คือ น้ำตกทีลอเร เป็นจุดปลายทางของการล่องแก่งเรือยางในการผจญภัยในลำน้ำแม่กลอง ความยากระดับ 3-4 หมายเหตุ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณ์ในการพักค้างแรมในป่า 2 คืน

และเตรียมอาหารไปเองช่วงเวลาที่เหมาะสมในการล่องแพ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-เดือนพฤษภาคม การล่องแพช่วงฤดูฝนจะมีอันตรายมาก เนื่องจากมีกระแสน้ำเชี่ยว และระดับน้ำลึกทำให้การบังคับแพลำบากจึงไม่ควรล่องแพหน้าฝนอย่างเด็ดขาดการเตรียมตัวสำหรับการล่องแพ แม้ว่าการล่องแพตามฤดูกาลที่แนะนำจะไม่มีอันตรายจากธรรมชาติ เนื่องจากกระแสน้ำไม่เชี่ยว และระดับน้ำไม่ลึก อีกทั้งลำห้วยแม่กลองไม่กว้างมาก ฝั่งทั้งสองอยู่ห่างจากแพข้างละ 8-10 เมตรเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวควรจะระวังในขณะล่องแพ และเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อการล่องแพที่สนุกสนาน และปลอดภัย ดังนี้- สวมเสื้อผ้า และรองเท้าแบบสบาย ๆ ไม่ควรหนา และรัดจนเกินไป- สวมหมวกกันแดด-

ควรมีเสื้อชูชีพโดยเฉพาะคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น- เตรียมเชือกมนิลายาวประมาณ 30-50 เมตร เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน- กระเป๋ากันน้ำ หรือถุงพลาสติกสำหรับใส่กล้องถ่ายรูป- ถุงสำหรับใส่เศษขยะเพื่อนำมาทิ้งบนบกการติดต่อล่องแพสามารถติดต่อได้กับบริษัททัวร์ สถานที่พักในอำเภออุ้มผาง หรืออาจติดต่อผ่านบริษัทนำเที่ยว ต่าง ๆ ได้ ค่าใช้จ่ายในการล่องแพอาจเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนคน และระยะเวลาการล่องแพข้อควรปฏิบัติในการเดินทางท่องเที่ยวอุ้มผางการเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง หรือน้ำตกทีลอซู นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องดำเนินการขออนุญาตก่อน

โดยผ่านการประทับตรา สป. 7 จากกรมป่าไม้ (แบบฟอร์มดังกล่าวสามารถติดต่อผ่านชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผาง) เพราะพื้นที่นี้ไม่ใช่พื้นที่ท่องเที่ยว เป็นการอนุญาตให้เข้าไปในฐานะผู้ศึกษาธรรมชาติ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเทศกาลวันหยุดจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเขตอำเภออุ้มผางโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น้ำตกทีลอซูเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาความแออัดในแหล่งธรรมชาติ ตลอดจนปัญหาเรื่องขยะรวมถึงห้องสุขาไม่เพียงพอ และถนนเสียหาย

23/8/52

วุ้นเส้น



วุ้นเส้น ทำจากแป้งของถั่วเขียว น้ำ และส่วนผสมอย่างอื่น เช่นแป้งมันฝรั่ง มีลักษณะเป็นเส้นกลมใสและยาว ปกติมักขายในรูปของวุ้นเส้นอบแห้ง เมื่อจะนำไปประกอบอาหารต้องแช่น้ำหรือต้มให้คืนรูปก่อน ตัวอย่างอาหารที่ใช้วุ้นเส้นคือ แกงจืด ผัดวุ้นเส้น กุ้งอบวุ้นเส้น เป็นต้น

ในภาษาอังกฤษจะเรียกวุ้นเส้นว่า cellophane noodle เนื่องจากมีความใสคล้ายเซลโลเฟน เมื่อวุ้นเส้นถูกอบให้แห้ง วุ้นเส้นจะใสไม่มีสี หรือใสเป็นสีเทาอ่อนหรือสีน้ำตาลอมเทา ไม่ควรสับสนระหว่างวุ้นเส้นและเส้นหมี่ (rice vermicelli) ซึ่งผลิตจากข้าวและสามารถเห็นเส้นเป็นสีขาวมากกว่าความใส

วุ้นเส้นมักเป็นเส้นกลมและมีความหนาแตกต่างกันออกไป วุ้นเส้นที่แบนและกว้างประมาณ 1 เซนติเมตรคล้ายเส้นใหญ่ก็ยังมีขายในต่างประเทศ (แต่ไม่มีขายในประเทศไทย)

บอระเพชรมีสรรพคุณอะไร



ชื่อวิทยาศาสตร์


Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f. & Thoms. Tinospora rumphii Boerl.Tinospora tuberculata Beaumee
วงศ์
Menispermaceae


ชื่อท้องถิ่น


จุ่งจริงตัวแม่, เจ็ดมูลย่าน, เจ็ตมูลหนาม, จุ่งจิง, เครือเขาฮ่อ , ตัวเจ็ตมุลย่าน, เถาหัวด้วน , เจ็ตหมุนปลูก

สารออกฤทธิ์


1.สารกลุ่ม terpenoid เช่น Borapetoside A ,Borapetoside B, Borapetol A , Tinocrisposide เป็นต้น2. สารกลุ่ม Alkaloids เช่น N-formylannonaine, N-acetylnornuciferine เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสารในกลุ่มอื่นๆ อีกหลายชนิด


การใช้ประโยชน์


มีการใช้บอระเพ็ดเป็นยาสมุนไพร สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงกำลัง บำรุงไฟธาตุ ช่วยเจริญอาหาร รักษาโรคฝีดาษ โรคไข้เหนือ โรคไข้พิษทุกชนิด ใบ รักษาพยาธิในท้อง รักษาฟัน ตำให้ละเอียดพอกฝี แก้ฟกช้ำ ปวดแสบปวดร้อน ผล เป็นยารักษาโรคไข้พิษอย่างแรงและเสมหะเป็นพิษ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ โรคโลหิตพิการ ในทางการเกษตร มีการนำบอระเพ็ดมาใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น หนอนกอ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น


วิธีใช้


ใช้เถาสด 5 กิโลกรัม บดหรือโขลกละเอียด ผสมน้ำ 12 ลิตร ทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง แล้วกรองเอาแต่น้ำ นำไปฉีดพ่นในแปลงพืช โดยฉีดพ่นติดต่อกัน 2 วัน เมื่อมีศัตรูพืชก่อนฉีดพ่นควรผสมสารจับใบ หรืออาจใช้ผงซักฟอก , น้ำยาล้างจาน , แชมพู อย่างใดอย่างหนึ่ง จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 10 ลิตร

ตระไคร้ลดอาการคันบนหนังศรีษะ



ตระไคร้เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่สามารถช่วยลดอาการคันบนหนังศรีษะได้


วันนี้เกร็ดความรู้มีมาบอกกัน...


วิธีการ คือ เลือกตระไคร้ที่สด ๆ หรือไม่เหี่ยวมาก ประมาณ 5-6 หัว หรือจะมากกว่านี้ก็ได้ จากนั้นก็ทำการล้างด้วยน้ำสะอาด ทำให้ตระไคร้มีขนาดเล็กลงโดยการหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วตำตระไคร้ให้ละเอียด ๆ (ย้ำต้องละเอียด ๆ ) แล้วคั้นเอาเฉพาะน้ำ หรือจะทำการปั่นตระไคร้ผสมน้ำแล้วปั้นและกรองเอาเฉพาะน้ำ อย่าให้มีกากโดยเด็ดขาด ประมาณถ้วยตวง หรือจะมากกว่านั้นก็ได้แต่อย่าเอาน้ำตระไคร้ที่ปั่นคั้นแล้วไปผสมกับน้ำเพราะจะทำให้ความเข้มข้นของน้ำมันในตระไคร้ลดลง ถ้าอยากได้น้ำตระไคร้ในปริมาณมากหน่อยก็ตวงให้เกินจริงตามที่ต้องการนิดหน่อย เพราะเวลาที่คั่นน้ำตระไคร้ ๆ จะอมน้ำไปด้วย



จากนั้น ก็มาเริ่มทำให้ลดอาการคันบนหนังศรีษะลดลง โดยโฉลมผมให้เปียกน้ำ จนถึงหนังศรีษะ จากนั้นเริ่มการนวดหนังศรีษะเบา ๆ นวดให้ทั่ว ๆ หนังศรีษะ โฉลมผมด้วยน้ำอีกครั้งให้เปียกถึงหนังศรีษะ แล้วทำการนำน้ำออกจากเส้นผมพอหมาด ๆ จากนั้นก็เอาน้ำตระไคร้ที่ได้จากการกรองแล้วนั้น มาโฉลมหนังศรีษะ แต่ไม่ต้องโฉลมหมดแค่ครึ่งหนึ่งก่อน แล้วทำการนวดหนังศรีษะอีกครั้งเบา ๆ ให้ทั่ว ๆ เมื่อนวดศรีษะทั่วแล้วให้นำน้ำตระไคร้ที่เหลือมาโฉลมหนังศรีษะอีกครั้งแล้วห่อด้วยผ้าที่ชุบน้ำบิดหมาด ๆ หมักเอาไว้ประมาณ 10-15 นาที หรือจะหมักจนอาการคันหยุบหยิบหายไป แต่อย่าเกาหนังศรีษะแรงขณะที่กำลังนวด จากนั้นทำการล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด แล้วทำการสระผมตามปกติ ก็จะช่วยลดอาการคันบนหนังศรีษะได้



ทำอย่างนี้ประมาณอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เป็นประจำก็จะยิ่งช่วยลดอาการคันบนหนังศรีษะได้ดี
ถ้าใครมีอาการคันบนหนังศรีษะ ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

18/8/52

เลื่อนตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง



อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนา


อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ


อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ"


ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต


จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า "เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ"


อาจารย์เขกหัวศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า " คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น


ไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา


ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง "


แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดู


ด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า "จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู


แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า"


เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม หากไร้คู่แข่ง


แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม


นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง


ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น


คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน


ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ


ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม


กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น


ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน


การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม


แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย


และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย


เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้

ถ้าท้อเป็นเพียงถ่าน... ถ้าผ่านจึงเป็นเพชร



เพชรมีค่ามากกว่าถ่านหลายล้านเท่า ทั้งๆ ที่เพชรเป็นธาตุคาร์บอนเหมือนกัน

ไม้ผ่านการอบการเผา ไม่นาน

ก็กลายเป็นถ่าน

แต่เพชรผ่านความร้อน ไม่ต่ำกว่า 5,000 องศาฟาเรนไฮต์

ได้รับความกดดันมากกว่า 1 ล้านปอนด์ต่อตารางนิ้ว ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน จนกระทั่งกลายเป็นเพชร

เพชรที่เป็นเครื่องประดับอันงดงาม พร้อมๆ กับเป็นของที่มีความแข็งมากที่สุดในโลก

ถ้าท่านกำลังได้รับความกดดันอยู่ จงอดทน จงอดทน

ถ้าท่านกำลังถูกเคี่ยวถูกสับ ให้คิดว่าเพียงแค่นี้ จะทำให้เป้าหมายเราสั่นคลอนได้หรือ?

ถ้าสถานการณ์กำลังบีบคั้น แสดงว่าชัยชนะกำลังรออยู่ข้างหน้า

ถ้ายังถูกโหมกระหน่ำอีกให้รู้ตัวว่า ท่านกำลังใกล้จะเป็นเพชรเต็มที่แล้ว....

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากหยุดคิดพิจารณาอย่างมีสติ

ย่อมจะเกิดปัญญาพบหนทางสว่างได้เสมอ จงมุ่งมั่นอาจหาญสง่างาม เสมือนดั่งเพชร

แม้เพชรจะตกอยู่ในสภาวะทุกข์ยากลำบาก อ้างว้างและโดดเดี่ยว

แต่เพราะเพชรไม่เคยย่อท้อต่อสู้เรื่อยไป

ให้ถือว่าทุกอย่างเป็นบทเรียนและบทฝึกตัวเองเสมอ จนกาลเวลาผ่านไป

เพชรจึงภูมิใจในตัวของมันเอง และด้วยความอดทนถึงที่สุดนั่นเอง

เพชรจึงเป็นอัญมณีล้ำค่า ควรแก่การประดับมงกุฎของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่

จากอดีต... ปัจจุบัน....ตลอดไปในอนาคต

ความรักของคนตาบอด

คุณเคยเห็นคนตาบอดไม๊ ?

คนตาบอด...ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่....

คุณอาจเจอพวกเขาได้ ในที่ที่มีคนอยู่กันเยอะๆ เช่น..ตลาดนัด...

พวกเขาไปที่นั่น เพราะหวังว่า... คงจะมี คนใจบุญ ไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง...

คนสองคน...ที่จับมือกัน...ค่อยๆ เดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด..ทีละนิด.

เพราะต่างคน ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่... นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว...

ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆเครื่องนึง... กับไมค์อีกอีกหนึ่งอัน...ที่ขาดไม่ได้

ก็คือขันอลูมิเนียม... อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน..

ผมไม่ คุ้นหู กับเพลงที่เขาร้องนักหรอก.. แต่ก็ดูว่าเขาตั้งใจร้องเหลือเกิน...

และดูเหมือนเขาก็ หวัง ว่าคุณจะต้องชอบมัน... ผมเห็นเขาจับมือกัน...

วินาทีนั้น...ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมเคยมองข้ามมาตลอด.. คุณเคยนึกถึงความรักของ..

คนตาบอด..หรือเปล่า.... ตนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ...

เพราะคนตาบอด...ไม่เคยรู้เลยว่า... คนรักของเขา..มีหน้าตาเป็นอย่างไร..

คนตาบอด..จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น.

เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน.... ไม่มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ให้กังวลใจ...

เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้... ต่างคน..ต่างก็ไม่มีเงิน... ตาสองข้าง ปิดสนิท....

แต่เปิดใจเข้าหากัน.. คนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ด้วย " ใ จ " ล้วนๆ... ความรัก....ก็เกิดจากตรงนั้น.

คนตาบอด พาคนที่เขารัก ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง... คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก...

คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน...และกลับถึงบ้านพร้อมกัน...

พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ.... ?

คุณรู้หรือเปล่า.....คนตาบอด

จับมือของคนที่เขารักไว้ตลอดทั้งวัน... คุณเคยทำอย่างเขาบ้างไม๊... ?

ผมกลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี...

หลายๆ คน มีเกียรติยศ หน้าที่ การงาน ที่ดีเหลือเกิน...

หลายๆ คน ทั้งหล่อ ทั้งสวย...ทั้งรวย ทั้งฉลาด...

แต่พวกเราหลายๆคนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก...

หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน....เพื่อจะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น..

เอ....พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก....มากเกินไปหรือเปล่านะ... อนาคตของคนตาบอด..

อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้... ดูเหมือนเขาจะ...สงสัยก็เพียงแต่ว่า...

วันพรุ่งนี้...จะมีคนใจบุญซักกี่คน... ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข....

ตอนที่ผมเขียนกระทู้นี้อยู่...พวกเขาก็คงนอนหลับกันแล้ว...

พวกเขาคงไม่มีงานที่ต้องทำดึกๆ เหมือนผมหรอก...คุณว่าไม๊ ??

ขอบคุณตลาดนัด...ที่ทำให้ผมเห็นภาพดีๆในวันนี้.... ผมเชื่อว่าครั้งหน้า.ที่คุณเห็นคนตาบอด...

ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น... คุณอาจมองเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็น...

ไม่ใช่ด้วยตา...แต่เห็นด้วยหัวใจ... เหมือนกับภาพที่ผมได้เห็นในวันนี้...

เมื่อถุงผ้ามีคุณค่ามากกว่าช่วยภาวะโลกร้อน




ความจริงคนแก่อายุใกล้ 70 ควรใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะเหนื่อยกับการทำงานมาตลอดชีวิต




แต่แม่ของผมท่านใช้เวลาว่างจากการเกษียณเย็บถุงผ้าด้วยมือเพื่อเป็นของขวัญให้กับบุคคลต่างๆตามแต่โอกาสที่มาถึง..ความจริงในตอนแรกๆผมก็กลัวว่าท่านจะเหนื่อยแต่เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน




ดูท่านมีความสุขมากขึ้นที่มีคนสนใจถุงผ้าที่ท่านเย็บด้วยมือและแม่ก็ได้ใช้เวลาที่มีอยู่อย่างมีคุณค่าอีกครั้ง ผมก็เลยอยากแบ่งปันความสุขของแม่ผมให้ทุกท่านได้ชมครับ...ถ้าอย่างไรติชมได้เพื่อจะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขครับ









พ่อครับผมขอโทษ

หลังวาเลนไทน์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมือนคนทั่วไป

“กุหลาบ ช็อคโกแลต คำบอกรัก"

สามสิ่งนี้ต้องเวียนเข้ามาหาชีวิตผม

เพื่อให้คนคนหนึ่งใน ทุก ๆ ปีของวันนี้

. . . ก่อนวันที่ 14 กุมภาพันธ์

ผมเดินออกจากบ้าน

ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีชมพูที่ต้องการเอาให้แฟนของผม

เธอเป็นหญิงสวยมาก เป็นดาวคณะของมหาลัยของเรา

ก่อนผมจะออกไปพบเธอ เธอโทรมาหาผม

ผมจึงวางผ้าเช็ดหน้าที่ผมบรรจงพับไว้บนโต๊ะ

หลังจากการพร่ำบอกรักกันด้วยถ้อยคำหวานหูเป็นเวลานานทีเดียว

ผมปรี่ออกจากบ้านไปหาเธอ

โดยไม่ลืมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น


แต่แล้ว!

ผมก็เห็นพ่อของผมถือมันออกมา ในผ้าผืนนั้นมีรอยเลือด

"พ่อ ทำอะไรหนะ" ผมโพล่งถามด้วยความโมโห

พ่อหน้าซีดทันที

"ไอ้เหมียวหนะ มันโดนกัด พ่อเลยเอาผ้าไปเช็ดเลือด"

"พ่อรู้ไหม ผมกำลังจะเอาไปให้แฟน"

พ่อเงียบ . . . ผมเกลียดจริงๆ เวลาพ่อเงียบเมื่อจนกับปัญหา

ความโหโหสั่งผมให้ทำได้แม้กระทั่งจะตบหน้าพ่อ

พ่อเบือนหน้า

"พ่อขอโทษ มานี่ . . . " พ่อยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้า

"พ่อจะเอาไปซักให้เอง"

ผมงอนพ่อถึงกับไม่ยอมคุยกับพ่อเป็นเวลานานพอควร

ไม่ยอมลงจากบ้าน

เป็นเวลาเกือบทั้งสองวันที่ผมไม่เจอหน้าใคร

หมกตัวอยู่กับห้อง มีเพียงแม่เท่านั้นที่คอยส่งข้าวให้ผม

ยามเมื่อผมมองตาแม่ครั้งใดทุกครั้ง ดวงตาแม่จะแดงปรี่ด้วยน้ำตา

ผมเริ่มรู้สึกว่า บางทีผมอาจจะทำเกินไป

. . . 14 กุมภาพันธ์

ตั้งแต่ครั้งที่ผมเห็นแม่เสียใจ

ผมก็รู้สึกว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

ผมยอมออกมาจากห้อง

ผมไม่เห็นพ่อ

เดินออกมาที่บริเวณลานซักผ้า กาละมังยังมีผ้าที่ยังไม่ซักหลายผืน

ข้างๆ มีกองเลือดอยู่ และที่ราวตากผ้ามี ผ้าเช็ดหน้าของผม

ถึงจะล้างรอยเลือดไม่หมด ก็ยังดีที่พ่อยังห่วงใยผม ยังแคร์ผมอยู่

"พ่อ ผมอยากขอโทษครับ"

พอผมหันหน้าจะกลับเข้าบ้าน ก็พบกับแม่ แม่ร้องไห้มาแต่ไกล

แม่วิ่งมากอดผม "พ่อเสียแล้วนะ"

ผมอึ้ง!!

แม่ลำดับเหตุการณ์ และทำให้ผมทราบว่า

พ่อป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจติดเชื้อ

รอยเลือดที่เห็นนั้นคือเลือดที่พ่อจามออกมา พ่อมองไม่เห็น

"พ่อกำชับแม่มาตอนที่ลูกโกรธว่า อย่าบอกลูกเด็ดขาดว่าพ่อป่วย "

"ทำไมล่ะครับ"
"พ่อกลัวเราจะเสียใจ แล้วไม่ได้ออกไปเที่ยวกับแฟน"

ผมอึ้งเป็นครั้งที่สอง!

"พ่อบอกแม่ด้วยว่า ถ้าพ่อเสียวันนี้ อย่าเพิ่งบอกลูก

ให้ลูกไปเที่ยวกับแฟนก่อน

พ่อไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์ พลาดโอกาสอย่างนี้เพราะพ่อคนเดียว

พ่อบอกด้วยว่าพ่อซักผ้าเช็ดหน้าให้แล้ว มันไม่สะอาดหรอก

แต่พ่อบอกว่าพ่อของลูกทำดีที่สุดแล้ว"

ผมกอดแม่ ร้องไห้

วันนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ที่อยู่ในความทรงจำตลอดไป

"พ่อครับ ผมขอโทษ . . .

ลดลงแต่กลับได้มากขึ้น


หากลดบางอย่างให้น้อยลง เราจะได้หลายสิ่งกลับมามากขึ้น
ลดความโกรธให้น้อยลง เราได้สติกลับมามากขึ้น
คิดถึงคนที่เรารักให้น้อยลง เราเข้าใจคนที่เรารักได้มากขึ้น
รักตัวเราเองให้น้อยลง คนอื่นรักเรามากขึ้น
พูดให้ร้ายคนอื่นให้น้อยลง มีคนพูดถึงเราในแง่ดีมากขึ้น
แสดงความฉลาดให้น้อยลง เราได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น
ออกนอกบ้านให้น้อยลง เราได้ความอบอุ่นในครอบครัวมากขึ้น
นอนให้น้อยลง เราทำหลายอย่างได้มากขึ้น
เราวิ่งให้ช้าลง เรามองเห็นคนมากขึ้น
เชื่อให้น้อยลง เรามองเห็นอะไรได้มากขึ้น
ลดทิฐิให้น้อยลง เรารู้จักอภัยมากขึ้น
ก้มหน้าให้น้อยลง เรามองเห็นได้ไกลขึ้น
ทะเลาะกับเด็กให้น้อยลง เราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง เราได้รับการเอ็นดูมากขึ้น

การเดินทางของปริญญา1ใบ

เป็นที่รู้กันดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และหลังจากนั้นบัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ

ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตรกลายเป็นของล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของหนุ่มสาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา จน 29 ปีต่อมา


มีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่าพระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตรนั้นเป็นพระราช ภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย หนังสือพิมพ์ลงว่าหากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้ง ละราว 3 ชม. เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร 470,000 ครั้ง

น้ำหนักปริญญาบัตร ฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน ไม่เพียงเท่านั้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุลยังเล่าเสริมให้เห็น

"ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ" ที่ไม่มีใครคาดถึงว่าท่านไม่ได้พระราชทานเฉย ๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา โบหลุดอะไรหลุดพระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน ฝุ่นมันจับ พระองค์ท่านก็ทรงปัดออก ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตรในระดับป.ตรี


คงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่า พระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ 6-7 วินาทีนั้น แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปี ๆ เปรียบกันไม่ได้เลย ที่สำคัญคือ ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสำหรับผู้สำเร็จป.ตรี นั้นสำคัญเพราะบางคนอาจไม่มี โอกาสศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก ดังนั้น " จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตปริญญาตรีไปจน กว่าจะไม่มีแรง"


เรื่องดีๆของ" ในหลวง" ผมเจอบทความนี้ก็เลยอยากแบ่งปันความรู้สึกดีๆให้กับทุกคนในช่วงที่บ้านเมืองของเราหาสิ่งดีๆได้น้อยลงทุกวัน

13/8/52

อาหาร 7 อย่างที่พึงเลี่ยงเมื่อท้องว่าง

เมื่อคนมันหิว อะไรใกล้มือก็มักจะคว้าเข้าปากกันไปก่อน ใครมีนิสัยอย่างนี้ขอให้ ลองปรับตัวเสียใหม่เพราะอาหารบางอย่างอาจเป็นเมนูที่ไม่ ค่อยเหมาะกับร่างกายในยามนั้นได้ “7 เมนู ที่ควรหลีกเลี่ยงยามท้องว่าง” ที่จะนำมาบอกกล่าวในครั้งนี้ นำมาจากคอลัมน์ “สุข กาย” ในจดหมายข่าว “สร้างสุข” ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.) เดือนพฤษภาคม 2550 มีรายการดังต่อไปนี้

1. เหล้า กระเทียม ทั้งสองอย่างนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร อักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

3. ชาแก่ จะทำ ให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่ มีแรง

4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียม และแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อ สุขภาพอย่างมาก

6. ผัก เพราะหากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด

7. นมและถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่แถมท้ายอีกนิดว่า ขณะท้องว่างไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ

กินเพื่ออยู่





ท่านเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า ?ทำไมคนเราจึงต้องกิน? มิหนำซ้ำ กินวันละ 3 ? 4 มื้อ?? หากจะถามท่านเดี๋ยวนี้ ท่านคงให้คำตอบที่คล้าย ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น กินเพราะหิว กินเพราะถึงเวลากิน กินเพราะเคยชิน หรือกินให้มันเสร็จไปวัน ๆ แต่มีหลายคนบอกว่า กินเพื่ออยู่


แม้ว่าคำตอบของแต่ละคนไม่ใช่เป็นคำตอบที่ผิด แต่คำตอบสุดท้ายที่ตอบว่า กินเพื่ออยู่นั้น ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่สร้างความพึงพอใจให้แก่บรรดานักโภชนาการ มากกว่าคำตอบอื่น ๆเหตุผล เพราะ คำว่า ?กินเพื่ออยู่? นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดของเจ้าของคำตอบที่อาจจะมองเห็นความสำคัญของการกินอาหารเข้าสู่ร่างกายเพื่อร่างกายจะได้นำอาหารไปใช้ประโยชน์ที่ทำให้ชีวิตคนเราดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข บุคคลกลุ่มนี้ส่วนมากจะแสวงหาความรู้ด้านอาหารและโภชนาการ เพื่อจะนำมาใช้ประโยชน์ต่อการเลือกกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการในแต่ละมื้อ แต่ละวัน


จะมีความใส่ใจต่อการประเภทชนิดของอาหาร ปริมาณอาหารและความสะอาด ปลอดภัยซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีโอกาสสูงต่อการมีสุขภาพดี มีชีวิตที่ยืนยาวในทางตรงกันข้าม คนที่ให้คำตอบว่า กินเพราะหิว กินเพราะถึงเวลากินนั้น มักจะเป็นกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญต่อการกินอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการน้อยกว่ากลุ่มแรก เพราะกลุ่มนี้จะกินอะไรก็ได้ที่มีอยู่ ที่เคยกิน หรือที่มีให้กินเพื่อดับความหิว กินเพื่อให้ท้องอิ่ม เมื่อท้องอิ่มหายหิวก็ถือว่าเสร็จภารกิจในแต่ละมื้อแต่ละวัน ขาดการใส่ใจที่จะพิจารณาชนิดอาหาร ความมีคุณค่าและการกินแบบสมดุล แถมยังไม่ขวนขวายที่จะหาความรู้ด้านการกิน จึงกินแบบที่ตนเองเคยยึดปฏิบัติมาจนชาชินติดต่อกันตลอดมา ในที่สุดคนเหล่านี้จะตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการมีภาวะสุขภาพที่ย่ำแย่ไม่แข็งแรง เจ็บป่วยบ่อย

อาหาร อันตราย สำหรับ สุนัข

Choclate ( Deadly )เนื่องจากมีส่วนประกอบของ Theobromine ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำ ให้การไหลเวียนของเลือดไปสู่สมอง อาจทำให้หัวใจวายได้ และเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ ชอคโกแลตยิ่งดำ ยิ่งอันตราย ( เพราะสารพิษส่วนใหญ่มันอยู่ในโกโก้ milk chocolate มีสารพิษน้อยกว่า ) อาการของสุนัขคือ ฉี่บ่อย ท้องร่วง หัวใจเต้นแรง รุกรน ไม่อยู่นิ่ง กล้ามเนื้อเกร็ง สั่น จนถึงอาการโคม่า


Bones ( Dangerous to deadly )เป็นอันตรายอาจทำให้เสียชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็น อย่างสุกหรืออย่างดิบ กระดูกของเล่นที่ทำสำหรับเป็นของเล่น สามารถที่จะ แตกย่อย สลาย ไม่มีคมเวลากลืนลงไป แต่กระดูกจริง ๆ ของสัตว์ต่าง ๆ เป็นจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ชิ้น ๆ เป็นอันตราย อาจทิ่มตำในช่องปาก รวมถึงระบบย่อยอาหาร ถ้าไปทำปัญหาให้ กับระบบทางเดินหายใจ จะหายใจไม่ออก อาจเสียชีวิตทันที พาไปพบหมอทันทีหากสังเกต เห็น มีอาการพยายามเอาอะไรออกจากปาก หายใจติดขัด หอบ พยายามจะอาเจียน ไอ


Liver ( Dangerous )เนื่องจากตับมีไวตามิน A มาก มีประโยชน์ต่อสุนัข แต่ถ้าได้ รับในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาเรื่องกระดูก ถ้าสุนัขได้รับไวตามิน A จาก อาหารเสริม ( supplements ) เพียงพอตามกำหนดแล้ว ไม่ควรให้ตับเพิ่มอีก


Raw meat and Pautry ( Deadly to dangerous )เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก เป็ด ไก่ ที่ ยังไม่ได้ทำให้สุก มีแบคทีเรียที่ทำอันตรายถึงตายได้ จะมีอาการเป็นไข้ อ่อน เพลีย ติดต่อถึงสัตว์อื่นและคนได้Raw eggs ( Dangerous )ถึงแม้ไข่จะมีประโยชน์ทำให้ร่างกายสุนัขแข็งแรง แต่ให้ ระวังการให้ไข่ดิบ เนื่องจากในไข่ดิบมีแบคทีเรียบางตัวที่เป็นสาเหตุให้ขนร่วง อ่อนแอ โตช้า และมีปัญหากระดูก


Onion ( Dangerous )หัวหอม มีฤทธิ์ทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้มีการนำ oxygen เข้าสู่ร่างกายสุนัขได้น้อยลง ไม่พอต่อความต้องการ ถึงแม้สุนัขจะได้กินเพียงแค่ 2 ชิ้นต่อ 1 อาทิตย์ ก็เป็นปริมาณเพียงพอที่จะทำให้สุนัขมีอาการ อ่อนแอ เพลีย น้ำหนักลด ซึม หัวใจเต้นเร็ว ( เรียกอาการที่เกิดจากกินหัวหอมว่า Heinz body hemolytic anemiaMilk ( Disagreeable )ไม่ทุกตัวที่มีปัญหา ในนมจะมี Lactose ที่ในสุนัขบางตัว ไม่มีเอ็นไซม์ที่ช่วยย่อยได้ ถ้าสุนัขกินนม หรือผลิตภัณฑ์จากนมเช่น ไอศครีม โย เกิรต แล้วมีอาการท้องเสีย ,ขาดน้ำ , ระคายเคืองผิวหนัง ก็แสดงว่าสุนัขตัวนั้น ไม่มีเอ็นไซม์ช่วยย่อย จึงควรหยุดให้นมทันที


Pork ( Disagreeable )เนื้อหมูส่วนใหญ่มีส่วนที่เป็นไขมันเยอะ ถ้าให้สุนัขกิน มากเกินไปอาจทำให้ไขมันไปอุดตันในเส้นเลือด ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู โดยเฉพาเบคอน นอกจากจะมีไขมันเยอะแล้ว ยังมีสารโซเดียมไนเตรท อีกด้วยMushroom ( Disagreeable to Deadly )เห็ดที่คนกินได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสุนัข แต่ว่าถ้าหลีกเลี่ยงได้ ควรไม่ให้สุนัขกิน เพราะถ้าสุนัขเคยชินกับรสชาด และ กลิ่นของเห็ด เมื่อสุนัขออกไปเจอเห็ดมีพิษที่ขึ้นตามสนามหญ้า หรือสวนสาธารณะ ได้กลิ่นเห็ดที่คุ้นเคย อาจทำให้สุนัขกินเห็ดมีพิษได้

สุขภาพที่ดี

---สุขภาพดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา สุขภาพดีเป็นสิ่งพรหมลิขิตให้แต่ไม่ทั้งหมด หลายคนไขว่ขว้าหาสุขภาพดี ใช้เงินใช้ทองซื้อทำสปา เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ซื้ออาหารลดน้ำหนักมารับประทาน การมีสุขภาพที่ดีต้องอาศัยตัวเองดูแลสุขภาพ ให้เวลากับตัวเองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7 ชั่วโมงในการนอนหลับ และรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ

---ธรรมชาติคงไม่ให้สุขภาพที่ดีแด่คนที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย แม้ว่าจะทราบแล้วว่าสิ่งนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ สุขภาพไม่สามารถซื้อด้วยเงินถึงแม้คุณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีหากคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดี เงินที่มีอยู่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น

---หลายท่านคิดว่าการออกกำลังกายเสียเวลา ท่านลองจิตนาการถึงภาระงานที่ท่านรับผิดชอบในแต่ละวันว่ามีมากน้อยเพียงใด หากท่านไม่ดูแลตัวเองและเกิดโชคร้ายท่านเป็นโรคอัมพาตหรือโรคหัวใจ ภาระที่ท่านว่ามากมายจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ภาระเหล่านั้นใครจะเป็นคนดูแล และหากโชคร้ายถึงขั้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นคนดูแลท่าน ท่านเพียงเสียเวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมง หรือท่านอาจจะใช้เวลาในการดูทีวีและออกกำลังกายไปด้วยกันซึ่งก็จะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดีขึ้น

---หลายท่านเชื่อว่า คนผอมเท่านั้นที่มีสุขภาพดี จึงทำการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นการใหญ่เพื่อให้น้ำหนักได้มาตรฐาน แต่การลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องลำบาก และการอดอาหารเป็นเวลานานๆอาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปลี่ยนมุมมองใหม่

---การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแต่หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่าถูกต้องตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่าพร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่จะกล่าวจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของท่าน

---การปฏิบัติตามแนวทางไม่ได้ต้องการให้ท่านมีอายุยาวหมื่นๆปีแต่ต้องการให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโรคที่ป้องกันได้ อายุยืนยาวขึ้น การที่จะมีสุขภาพที่ดีต้องประกอบไปด้วยการดูแลดังต่อไปนี้

9/8/52

ประวัติของขนมเค้ก


-----ความหมายของเค้ก เค้ก เป็นขนมที่มีกระบวนการทำให้สุกโดยการอบ เป็นขนมที่นิยมบริโภคกันทุกกลุ่มชน เค้กมีหลายประเภทและมีคุณสมบัติต่าง ๆ กัน ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของส่วนผสมคือแป้งสาลี ผงฟู เกลือ ไขมัน น้ำตาลไข่ นม และกลิ่นรส โดยต้องมีองค์ประกอบเป็นตัวเค้กให้มีความสมดุลย์ต่างกันไป แล้วแต่ชนิดของเค้กที่จะทำประโยชน์ของเค้ก เค้ก เป็นขนมอบที่มีลักษณะ รูปร่าง ตามความต้องการของผู้ผลิต แต่มีส่วนประกอบของแป้งสาลี น้ำตาล ไข่ นม ไขมัน และสิ่งปรุงแต่งให้เกิดชนิดของเค้ก เช่น ผลไม้ต่าง ๆ ดังนั้นเค้กจึงเป็นขนมที่ให้ประโยชน์กับผู้บริโภค

-----โดยได้รับสารอาหาร คือแป้ง น้ำตาล ให้สารอาหาร คาร์โบไฮเดรท ซึ่งเป็นสารอาหารที่ทำให้เกิดพลังงานแก่ร่างกายไข่ นม ให้สารอาหาร โปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่สร้างเซลล์เนื้อเยื่อให้กับร่างกายเนย ไขมัน ให้สารอาหารไขมัน ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการหล่อลื่นและทำให้ผิวพรรณสดชื่น

ไวน์

-----ไวน์ (อังกฤษ: wine; ฝรั่งเศส: vin) หมายถึงเมรัยอันผลิตจากน้ำองุ่น แต่ก็อาจใช้กับเครื่องดื่มที่ทำจากน้ำผลไม้อื่นเช่นกัน ไวน์ที่จะกล่าวถึงในที่นี้จะหมายถึงเฉพาะเครื่องดื่มจากน้ำองุ่นเท่านั้น
ไวน์ เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเกิดจากการหมักน้ำตาลในองุ่น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
ไวน์ขาว (White wine) หรือ (vin blanc) และ ไวน์แดง (Red wine) หรือ (vin rouge) ไวน์ที่ได้จากการผสมระหว่างไวน์ 2 ชนิดเรียกว่า ไวน์สีชมพู (Rosé หรือว่า Pink wine) [ rosé แปลว่าสีชมพู ถ้าใช้กับ wine เรียกว่า rosé ไปเลยไม่ต้องเรียก vin rosé] ส่วนไวน์ที่มีการอัดก๊าซลงไป จะเรียกว่า สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine) สปาร์กลิงไวน์ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ แชมเปญ (Champagne)

----ประวัติ----

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีมาหลายร้อยปีแล้ว มีการค้นพบโถโบราณบรรจุเมล็ดองุ่นไร่ซึ่งมีอายุนับเนื่องขึ้นไปกว่า 8,000 ปี ก่อนคริสตกาล

นอกจากที่ประเทศอิหร่านแล้ว ยังมีการพบร่องรอยของเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้จากกรรมวิธีการหมักแบบเดียวกับไวน์ในสมัย 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ทางตอนเหนือของประเทศจีน

ในยุคอียิปต์โบราณ การเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบระเบียบมาก เทพต่าง ๆ ในตำนานเทพปกรณัม ทั้งโอซิริสของอียิปต์ เทพไดโอนีซุสของกรีก บัคคัสของโรมัน หรือกิลกาเมชของบาบิโลน ล้วนแล้วแต่เป็นเทพแห่งไวน์ นอกจากนั้น ไวน์ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูเจ้าตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ไวน์มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นอันมากในช่วงสองร้อยปีหลัง ชาวโรมันในสมัยก่อนนั้นดื่มไวน์ที่มีรสฉุนจนต้องผสมน้ำทะเลก่อนดื่ม รสชาติของไวน์ดังกล่าวแตกต่างจากไวน์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

ในสมัยศตวรรษที่ 19 ไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยคนงานที่รับจ้างเก็บเกี่ยวพืชผลจะดื่มไวน์ถึงวันละ 6-8 ลิตร และนายจ้างจะจ่ายไวน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าแรง เพราะสมัยนั้นน้ำยังไม่ค่อยสะอาดพอที่จะนำมาดื่มได้

ส่วนประกอบของไวน์

ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของไวน์คือแอลกอฮอล์ที่ละลายในน้ำ และส่วนผสมทางเคมีอื่น ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นสารระเหยและสารไม่ระเหย ทั้งสารละลายและสารแขวนลอย ปกติแล้ว ปริมาณของแอลกอฮอล์จะอยู่ระหว่าง 9-15 เปอร์เซ็นต์ต่อปริมาณน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์

แอลกอฮอล์ในไวน์ส่วนใหญ่เป็นเอทิลแอลกอฮอล์ และยังพบตัวทำละลายประเภทกลีเซอรอล ซอร์บิทอล และบูตีแลนกลีคอลด้วย

นอกจากนั้น ไวน์ยังประกอบด้วย

น้ำตาลชนิดต่าง ๆ ทั้งกลูโคส ฟรุคโตส ในปริมาณที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1-2 กรัมต่อลิตร ในดรายไวน์ที่หมักจนน้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์แล้ว จนถึง 50-60 กรัมต่อลิตร ในไวน์หวานที่กระบวนการหมักบ่มยังไม่สมบูรณ์ .

กรดต่าง ๆ ทั้งกรดมาลิก กรดซิตตริก กรดทาทาริก กรดอะซีติก กรดแลกติก กรดซัคซินิก
ส่วนผสมอื่น ๆ เช่น
แทนนิน แอนโทซีอัน
รงควัตถุ(pigment) ต่างๆ เช่น แอนโทไซยานิน

การอพยพออกนอกประเทศของชาวจีน

นับตั้งแต่ราชวงศ์ถัง (ค.ศ.๖๑๔) ของจีนเป็นต้นมา ในดินแดนเอเชียอาคเนย์ก็มีชาวจีนอพยพมาตั้งรกรากแล้วดังนั้น แม้เวลาล่วงเลยจนถึงปัจจุบัน ชาวจีนโพ้นทะเลก็ยังคงเรียกตัวเองว่า “ถังเหยิน” (คนถัง) เมื่อมาถึงระยะตอนต้นของการเข้าครอบครองแผ่นดินจีนของชนเผ่าแมนจูเรีย (ค.ศ.๑๖๔๔) พวกราชนิกุลและขุนนาง ตลอดจนราษฎรที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิง ก็ได้พากันหนีออกนอกประเทศ กระจายไปทุกที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเอเชียอาคเนย์ เพื่อทำการต่อต้านราชวงศ์แมนจูต่อไป คณะก่อการต่อต้านราชวงศ์แมนจูนี้ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์ ได้แก่ คณะ “ซานเตี่ยนหุ้ย” เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ทางการจึงตรากฎหมายขึ้น ห้ามราษฎรอพยพออกจากประเทศเป็นอันขาด ผู้ใดฝ่าฝืนหรือถูกจับให้ประหารชีวิตทันที แม้จะมีกฎหมายอันโหดเหี้ยมฉบับนี้ แต่ก็ไม่อาจสกั้นผู้คนที่หนีออกมานอกประเทศเลย


ในสมัยนั้น ผู้ที่ลักลอบออกนอกประเทศโดยเรือสำเภาแดงนั้น มีอันตรายยิ่งนัก เพราะเรืออาจต้องผจญกับพายุในทะเล มีโอกาสอับปางได้ทุกเมื่อ นั่นก็หมายถึงผู้โดยสารในเรือกลายเป็นอาหารอันโอชะของปลาทะเล ดังนั้น บรรพบุรุษของข้าพเจ้า จึงมีคำกล่าวว่า “คนดีย่อมไม่ข้ามน้ำข้ามทะเล”ในระหว่างศตวรรษที่ ๑๙ ประเทศมาหาอำนาจในยุโรปได้อาศัยการทหารและเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งออกล่าอาณานิคมไม่ว่าทางอาเชียหรดีหรือเอเชียอาคเนย์ ล้วนไม่พ้นเงื้อมมือจนสุดท้ายลูกศรก็ชี้มายังประเทศจีน นับแต่เกิดสงครามฝิ่นในปี ค.ศ.๑๘๓๘ จนมาถึงการรวมแปดทับเข้าบุกกรุงปักกิ่งประเทศจีนได้ตกอยู่ในสภาวะปราชัยตลอดมา แม้จีนจะรอดพ้นจากการถูกแบ่งแยกดินแดน แต่ก็ได้กลายสภาพเป็นประเทศกึ่งอาณานิคม (ดร.ซุนยัดเซน เรียนกว่าอาณานิคมชั้นรอง) รัฐบาลแมนจูในสมัยนั้น จึงเฉลียวใจว่าดินแดนนอกประเทศจีนออกไปนั้น เป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนั้น จึงสำนึกถึงความผิดพลาดในนโยบายปิดประเทศของตัวเองในที่สุดก็ต้องยกเลิกกฎหมายที่ห้ามราษฎรออกนอกประเทศโดยปริยาย


ในปลายศตวรรษที่ ๑๙ ราษฎรในมณฑลกวางตุ้งและฮกเกี้ยนซึ้งอยู่ทางชายฝั่งจีน ได้พากันอพยพออกโพ้นทะเลเป็นขนาดใหญ่ ซึ่งต่างก็เรียกกันว่า “ไปเมืองฮวน”นั่นเอง ชาวจีนโพ้นทะเลที่อาศัยอยู่ในเอเชียอาคเนย์ก็นับวันมากขึ้นทุกทีฐานะทางเศรษฐกิจก็มั่งคั่งขึ้น ตอนที่ ดร.ซุนยัดเซน ก่อการปฏิวัติราชวงศ์แมนจู ก็ได้รับแรงการสนับสนุนจากชาวจีนโพ้นทะเลที่รักชาติ ซึ้งสิงค์โปร์ก็ได้กลายเป็นฐานก่อการปฏิวัติโดยปริยาย ดร.ซุนยัดเซน ก็เคยเดินทางมาสิงค์โปร์และไทยเพื่อปลูกความสำนึกรักชาติของชาวจีนโพ้นทะเล ในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ของปี พ.ศ.๑๙๑๑ การก่อการปฏิวัติที่เมืองอู่ชังได้ปะทุขึ้น จนสามารถล้มล้างการปกครองระบอบศักดินาของราชวงศ์แมนจู ซึ่งทางประวัติศาสตร์เรียกว่า การปฏิวัติซินไห่” เนื่องจากชาวจีนโพ้นทะเลมีส่วนในการเกื้อหนุนให้การปฏิวัติสำเร็จนี่เอง ดร.ซุนยัดเซน จึงยกย่องว่า “เป็นรากฐานแห่งการปฏิวัติ”จากปลายศตวรรษที่ ๑๙ จนถึง ๓๐ ปีแรกแห่งศตวรรษที่ ๒๐ นี้ กล่าวได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่คนจีนมีการอพยพออกนอกประเทศมากที่สุด ในสมัยก่อนคนจีนมักเรียกต่างประเทศที่อยู่รอบๆ ว่า “ฮวน”ฉะนั้นการอพยพไปต่างประเทศจึงเรียกว่า“ไปเมืองฮวน”แท้ที่จริงแล้ว การอพยพไปเมืองฮวนของชาวจีนนั้น ในระยะแรกเป็นการหนีความอดอยากต้องการไปหาความอยู่รอดในต่างแดนนั้นเอง ต่อเมื่อมีคนไปเมืองฮวนแล้วร่ำรวยกลับมาจึงทำให้คนจีนอื่นๆ พากันฝันหวานที่จะไปร่ำรวยในเมืองฮวน โดยข้อเท็จจริงแล้ว คนที่ชอบอพยพไปต่างแดนแล้วสามารถสร้างตัวได้จนร่ำรวย ส่งเงินทองกลับบ้านเกิดซื้อที่นาและปลูกสร้างบ้านนั้นมีจำนวนเพียงหนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในพันเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้ว เพียงสามารถส่งค่าใช้จ่ายไปบ้านเพื่อเลี้ยงพ่อแม่ลูกเมีย ๓-๕ ปี หรือแม้กระทั่งนับ ๑๐ ปี สามารถเก็บหอมรอมริบจนมีเงินสักก้อนหนึ่ง แล้วกลับบ้านเกิดเมืองนอนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งพ่อแม่ลูกนั้นก็บุญหนักหนาแล้ว


ข้าพเจ้าเกิดปี ค.ศ.๑๙๐๕ ซึ้งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนพากันไปเมืองฮวนพอดี คำกล่าวว่า “คนดีย่อมไม่ข้ามน้ำข้ามทะเล”นั้นได้หมดสมัยไปแล้ว ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านต่างต้องการไปเมืองฮวนทั้งนั้น มีเพียงคนอ่อนหัดเท่านั้นที่ยอมดันทุรังทำนาอยู่ในหมู่บ้านต่อไป บิดาของข้าพเจ้าแม้เป็นบัณฑิต (คนมีการศึกษาสูง) แต่เมื่อถึงวัยกลางคน ก็ไปเมืองฮวนกับเขาเหมือนกันแต่แล้วก็ประสบความผิดหวังกลับมาในวงศ์ตระกูลของข้าพเจ้ามีชายอกสามศอกอยู่ประมาณ ๒๐๐ กว่าคน ในจำนวนนี้มีกว่าครึ่งที่เฮโรกันไปเมืองฮวน ในระยะหนึ่งร้อยปีมาแล้ว มีเพียงอาคนหนึ่งและลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนเท่านั้นที่สามารถร่ำรวยแล้วส่งเงินกลับไปสร้างบ้านซื้อที่นา เมื่อประมาณ ๖๐-๗๐ ปีก่อนประชากรในอำเภอเหมยเชี่ยน (ในมณฑลกวางตุ้ง) มีประมาณ ๓-๔แสนคน ตามที่ทราบมาอย่างน้อยแสนกว่าคนได้ไปเมืองฮวน ภายหลังประสบความสำเร็จฐานะมั่งคั่งกลับไปซื้อที่สร้างบ้าน แม้กระทั่งใช้เงินซื้อตำแหน่งทางราชการก็ยังมีจึงสรุปเป็นคำพูดก่อนจบเรื่องดังนี้


“หนทางนั้นอันตราย สมัยก่อนคนดีไม่ออกจากเมืองแต่บัดดลแปรเปลี่ยนไป มาภายหลังผู้คนพากันไปเมืองฮวน”