27/12/52

หอไอเฟล


หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, ตูร์แอฟแฟล; อังกฤษ: Eiffel Tower) หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย

หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลมีความสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) (รวมเสาอากาศสูง 24 เมตร (79 ฟุต)) ซึ่งก็สูงเท่ากับตึก 81 ชั้น

เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่สุดในกรุงปารีส ซึ่งอันดับสองคือหอมงต์ปาร์นาสส์ (Tour Montparnasse - 210 เมตร หรือ 689 ฟุต) ซึ่งในไม่ช้าจะถูกแทนที่โดยหออาอิกซ์อา (Tour AXA - 225.11 เมตร หรือ 738.36 ฟุต)

17/12/52

:::::: เคี้ยวนาน ฉลาดมาก ::::::

เชื่อหรือไม่การเคี้ยวมากๆจะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น
นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้"

หลังจากนั้นก็มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ 100 ทีแล้ว ปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา 1 สัปดาห์

การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND) และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา


ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย การขบคิดและสมาธิ

ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลอง จำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้ ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหาร

การเคี้ยวอาหาร 30 ที ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ

การเคี้ยวอาหาร 50 ที จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหาร นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

การเคี้ยวอาหาร 100 ที ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่างๆ อย่างสงบเยือกเย็น กินน้อยแต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย

การเคี้ยวอาหาร 200 ที ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น

:::::: ทำไมยาคูลท์ถึงมีแต่ขนาด 80 cc. ::::::

หลายคนสงสัยไหมว่าทำไมยาคูลท์ถึงไม่มีขวดใหญ่เลย เพราะคนที่ทานเยอะ เมื่อดื่มแล้วไม่อิ่ม...จริงไหม .....

ทุกเย็นหลังเลิกงาน จะมีสาวยาคูลท์นำยาคูลท์มาส่งให้กับพนักงานออฟฟิตทุกวันเป็นเรื่องปกติ แต่แล้วมองไปที่ขวดยาคูลท์ เอ..ทำไมยาคูลท์ถึงมีแต่ขวดเล็ก ไม่มีขวดใหญ่ให้ลูกค้าเลือกซื้อ ???...


ยาคูลท์ (Yakult) เป็นเครื่องดื่มคล้ายโยเกิร์ตชนิดหนึ่ง ถูกคิดค้นโดย ศาสตราจารย์ชิโระตะ มิโนะรุ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต เกิดจากกระบวนการหมักของนมพร่องมันกับน้ำตาลและแบคทีเรียแลกโตบาซิลลัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบในระบบดูดซึมอาหารของมนุษย์ ซึ่งส่งผลช่วยให้ระบบในร่างกายของมนุษย์ทำงานได้ดีขึ้น ชื่อของยาคูลท์มาจากภาษาเอสเปรันโต คำว่า Jahurto ซึ่งหมายถึงโยเกิร์ต นั่นเอง


โดยปกติธรรมชาติแล้ว จุลินทรีย์ชนิดนี้มีอยู่แล้วตามทางเดินอาหารของคนเรา และเป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ ช่วยทำให้เกิดกระบวนการย่อย และหมักในทางเดินอาหารในส่วนที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถจะย่อยได้ จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะคอยช่วยเหลือ แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อเราได้เช่นเดียวกัน คืออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เพราะจุลินทรีย์ผลิตกรดขึ้นมา ซึ่งเป็นผลทำให้ยาคูลท์ผลิตขนาดเดียว คือ 80 ซีซี ที่พอเหมาะกับปริมาณของเชื้อแลคโตบาซิลลัส โดยจะสังเกตข้างขวดที่เขียนไว้ว่า มีปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัส 8.0x10 ( ยกกำลัง 9 )


ถ้าทำยาคูลท์ให้มีขนาดขวดใหญ่พอ ๆ กับยาคูทล์ 6 ขวดเล็กรวมกันแล้วละก็ คงไม่ดีต่อผู้บริโภคแน่ เพราะจะทำให้ได้รับปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัสมากเกินพอ หรือถ้าจะทำขนาด 450 ซีซี ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ลดปริมาณแลคโตบาซิลลัสลงอาจจะทำได้ แต่เชื่อแน่ว่ารสชาติของยาคูลท์อาจจะเปลี่ยนไปไม่อร่อยเหมือนเคย


และถ้าหากเราทานยาคูลท์วันละ 6 ขวด เพื่อความอร่อยแต่อาจเกิดโทษขึ้นได้ ทานวันล่ะขวดก็เพียงพอแล้ว คนที่ไม่ทานเลยก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าในร่างกายของเรามีจุลินทรีย์ชนิดนี้อยู่เรียบร้อยแล้ว อีกเรื่องที่ควรสังเกต เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่บริโภคยาคูลท์ก็คือ อย่าลืมดูวันหมดอายุข้างขาดและเลือกซื้อจากตู้แช่ที่เก็บไว้ใน อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้ได้จุลินทรีย์ที่พร้อมจะทำงานให้เราได้ทันที และถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติมถามสาวยาคูลท์ได้เลยนะคะ

ข้อมูล
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B9%8C
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tenshi-neko&month=07-2007&date=23&group=1&gblog=120
http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20071015094707AABct9W

:::::: ชื่อภาษาอังกฤษตัวสุดท้ายก็มีความหมายนะ!!! ::::::

อักษรตัวท้ายสุดในชื่อภาษาอังกฤษของคุณคืออะไร ลองมาดูคำทำนายต่อไปนี้ ที่จาระไนลักษณะนิสัยของคุณเอาไว้ ทดสอบมาแล้วกับตัวเองและคนใกล้ตัวว่าแม่นใช้ได้ แต่กับคุณไม่รู้ มาลองดูเองละกัน

A / J / S
เป็นคนหลงใหลในอิสระเสรีภาพมาก ไม่ใช่เก็บตัว ทั้งยังชอบการแสดงออกเสียจนดูฟุ่มเฟื่อย สำหรับการทำงาน ชอบทำงานที่ได้เป็นเจ้านายตัวเอง ทั้งนี้เพราะว่าเป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดของตนเป็นอย่างยิ่งโดยไม่เปลี่ยนแปลงง่าย ๆ และไม่ยอมประนีประนอมใด ๆ เลย แต่ก็เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อความต้องการของตน ทั้งยังเป็นคนมีอารมณ์ขัน และจริงใจต่อทุกคนที่เป็นเพื่อน

B / K / T
อุปนิสัยมักเป็นคนที่เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่จึงมักหวั่นไหวปรวนแปรได้โดยง่าย ตามกระแสความต้องการ ของคนส่วนใหญ่ หรือบุคคลที่มีอิทธิพลเหนือกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนอ่อนไหวง่าย ขี้สงสาร รวมไปถึงการชอบสงสารและเข้าข้างตัวเองอีกด้วย ทั้งยังไม่ใช่คนที่มีความอดทนต่อสิ่งใด ๆ เลย และมักมี
ความฝังใจกับเรื่องร้าย ๆ ในอดีต

C / L / U
เป็นคนที่อยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยได้ มักจะกระตือรืนร้นสนอกสนใจเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่เสมอ แต่จะสนใจอะไรได้ ไม่ค่อยนาน และมักทำงานไม่ค่อยสำเร็จหากไม่มีคนช่วย ทั้งนี้เพราะมีความเป็นนักทฤษฎีมากกว่านักปฏิบัติ และยังเป็นคนที่ชอบการแสดงออกโดยเฉพาะในเรื่องความคิดจะให้ความสนใจในตัวบุคคลที่มีความสามารถเก่งการจจนเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง และชื่นชอบกับการติดต่อพบปะผู้คน

D / M / V
เป็นคนที่มีความเข้มแข็งและอดทนที่โดดเด่นมาก ชอบทำตัวง่าย ๆ ติดดินและไม่เป็นปัญหาสำหรับใคร
มักจะเป็นที่พี่งพาของคนใกล้ชิด เป็นผู้ให้ที่ดีสำหรับคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงจัง แต่จะไม่มีความอดทนกับคนที่เอาแต่งอมืองอเท้าไม่ทำอะไร นอกจากเอาแต่ร้องขอทั้งยังให้ความสำคัญกับการทำงานและสิ่งอันเป็นสาระต่อชีวิต นอกจากนี้ยังเป็นคนที่รักความซื่อสัตย์มากที่จะทำทุกอย่างตรงไปตรงมา

E / N / W
เป็นคนชอบความทันสมัยมาก และมักจะทนกฎเกณฑ์เก่า ๆ ที่เห็นว่าคร่ำครึสำหรับตนไม่ได้เลย ทั้งยังเป็น คนชอบการเปลี่ยนแปลง จะไม่มีวันยอมยึดมั่นหรือเข้มงวดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้และยังไม่ใช่คนที่มีระเบียบแบบแผนอะไรมากนัก ความคิดก็มักจะขัดแย้งกับคนทั่วไป ออกจะดูดื้อรั้นในสายตาคนรอบข้าง

F / O / X
เป็นผู้ที่มีความอ่อนโยน โอบอ้อมอารีและมักมีเสน่ห์ต่อคนใกล้ตัวเสมอทั้งยังเป็นคนที่นิยมในสิ่งที่สวยงา
มอ่อนหวานจึงมักจะหมดเปลืองเวลาไปกับการสรรหาสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ให้ตนเองโดยเฉพาะใน
เรื่องการแต่งตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจมีความสุขมากทั้งยังนิยมชมชอบให้คนรอบข้างได้สัมผัสใกล้ชิดกับสิ่งสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศิลปะหรือข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ

G / P / Y
มักเป็นคนที่นิยมในความจริงที่ตรงไปตรงมาและชัดเจน ชอบทำงานที่มีเหตุผลจริงจัง ทั้งยังเป็นคนที่มี ความละเอียดถี่ถ้วนมากในหน้าที่ที่รับผิดชอบ นอกจากนี้ยังเป็นคนเปิดเผย ใจร้อนชอบแสดงออก กล้าคิดกล้าทำ แต่ไม่ใช่นักพูดที่ดีนัก เป็นคนที่มีความโดดเด่นในตัวเองโดยธรรมชาติ เป็นคนชอบแต่งตัวและมีรสนิยมที่ดีในการเลือกข้าวของเครื่องใช้ให้กับตนโดยไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป

H / Q / Z
ไม่มีความเร่งร้อนบุ่มบ่ามในการกระทำใด ๆ ทั้งสิ้น การคิดการตัดสินใจค่อนข้างล่าช้าแต่สุขุมรอบคอบ และผ่านการวางแผนที่ดี ไม่ชอบชีวิตเสี่ยงภัยและไร้ความมั่นคง ทั้งยังเป็นคนที่เคร่งครัดต่อระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคมเป็นอย่างยิ่ง ค่อนข้างจะปิดกั้นตัวเองต่อความสนุกสนานในความคิดของคนทั่วไป รักความสงบ และรักการใช้ชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีคนเข้ามาวุ่นวาย

I / R
มีความมานะพยายามสูง และมองคนในแง่ดี ไม่มีอคติหรือคิดร้ายกับใครทั้งสิ้น แต่ในขณะเดียวกันเป็นคนที่ มีความเป็นตัวของตัวเองมาก ชัดเจนและตรงไปตรงมากับความชอบหรือไม่ชอบของตน ไม่มีลักษณะของคนที่ลังเล หรือตัดสินใจไม่ได้ให้เห็นเลย จะดูเป็นคนดันทุรังอยู่สักหน่อยกับสิ่งที่ตนคิดและเชื่อที่จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทั้งยังมีหลักการและเหตุผลสำหรับการกระทำของตัวเองเสมอ.

:::::: ความรู้รอบตัวแบบที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน ::::::

1.ยุงบินด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง...

2.ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง...

3.เส้นผมคนรับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม...

4.เสียงกรนที่ดังที่สุดดังถึง 87.5 เดซิเบลล์

5.พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ถ้าจะนำมาออกรายการต้องซื้อลิขสิทธิก่อน...

6.เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์...

7.หอเอนเมืองปิซาเอนไปทางใต้...

8.กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต...

9.ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย...

10.ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว...

11.เราไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้...

12.ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน...

13.ฮิปโปผายลมทางปาก...

14.ประเทศซาอุดิอราเบียไม่มีแม่น้ำ...

15.กังหันทั้งโลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์...

16.เด็กนักเรียนอายุ15 ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับเข้าคุกถ้า"โกงข้อสอบ"...

17.ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา...

18.ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน...

19.ตัว"โอ"เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ...

20.คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที

21.ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้...

22.เม่นชอบช่วยตัวเอง...

23.ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย...

24.ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่...

25.เจ้าฟ้าชายชาลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม...

26.คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด...

27.ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1000 คน

28.เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที

29.มันเปนไปมะได้อ่ะคับ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา

30.เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว

31.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed

32.กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น

33.แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ - โพดำกษัตริย์เดวิด - ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช - โพหัวใจ ชาร์ล เลอ มาญ - ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์

34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้า และม้ายกสองขาขึ้นบนอากาศแปลว่าคนนั้นตายในสงคราม

35.ถ้าม้ายกขาข้าเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงคราม และตายจากการบาดเจ็บนั้น

36.ถ้าทั้งสี่ขาของม้าอยู่บนพื้น แสดงว่าตายโดยธรรมชาติ

37.ใน 4000 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสัตว์ชนิดใหม่ๆที่ถูกทำให้เชื่อง

38.เชคสเปียร์ เป็นคนคิดค้นคำว่า assassination (การลอบฆ่า) และ bump (ชน กระทบ)

39.หัวใจมนุษย์สร้างความดันเพียงพอที่จะปั๊มเลือดออกจากร่างกายไป 30 ฟุต

40. หนูสามารถสืบพันธ์ได้เร็มาก ใน 18 เดือน หนูสองตัวจะสามารถมีทายาทมากกว่าล้านตัว

41.การใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียว ทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น700 เท่าตัว

42.ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา

43.เหมือนกับลายนิ้วมือ....ลายลิ้นทุกคนต่างกัน

44.นิตยสาร time ได้ยกย่องให้คอมพิวเตอร์เป็นบุคคลแห่งปีในปีค.ศ.1982

45.สถิติจูบนานที่สุดในโลกเป็นของหลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปีกับแฟนหนุ่ม ริชแลงเลย์ วัย 22 ปีพวกเขาทำสถิติไว้ที่ 30.59.27 ชม.

46.ตอนที่ f4 ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือบ100 คน ต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม 2

47.บริษัทผู้ผลิตยาสีฟันดาร์ลี่เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่ผลิตยาสีฟันคอลเกต

48.โดนั ลด์ ดักส์ ถูกแบนในประเทศฟินแลนด์ เพราะมันไม่ได้สวมกางเกงใน

49.ภาพยนต์เรื่อง nothing hill จ่ายค่าตัวจูเลีย โรเบิร์ต 15ล้านเหรียญ ( 660 ล้านบาท ) ในขณะที่พระเอกอย่างฮิว แกรนจ์รับค่าตัวเพียง 1 ล้านเหรียญ ( 45 ล้านบาท)

50.หนังอนิเมชันเรื่อง SouthPark ได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นหนังอนิเมชั่น เรื่องยาวที่หยาบคายที่สุดในโลกสถิติบันทึกไว้ว่า มีการใช้คำหยาบ 399 คำ พฤติกรรมรุนแรง 221 ครั้ง และแสดงท่าทางหยาบคาย 128 ครั้ง

51.ขนมทอดกรอบตรา ปูไทย ระบุว่าไม่มีส่วนผสมของเนื้อปู

52.ในน้ำทะเล 100 ตัน จะมีทองคำอยู่ประมาณ 4 กรัม

53.จำนวนแถวของข้าวโพดในแต่ละฝักจะเป็นเลขคู่

54.จิงโจ้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่เดินถอยหลังไม่ได้

57.ยุงชอบเลือดเด็กมากกว่าเลือดผู้ใหญ่

58.แมงมุมทอดรสชาติเหมือนถั่ว

59.ฟันของแมลงสาบอยู่ในท้อง

60.เม่นทุกตัวลอยน้ำได้

61.หมู มีโอกาสเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง

62.นอกจากมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกและจิงโจ้ต่างก็จูบเป็น ส่วนลิงชิมแปนซีนั้นจูบแบบ "เฟรนช์คิส" ได้ด้วย

63.คนถนัดขวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนถนัดซ้ายถึง 9 ปี

64.Hippopotomonstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัวคำอ่านยาวๆ

65.ผู้ที่เกิดเดือนมกราคม - มีนาคม มีแนวโน้มเป็นโรคจิตและโรคคลั่งมากกว่าเดือนอื่นๆ

66.แก้วไม่ได้เป็นของเเข็ง เเต่เปนของเหลว

67.สมองคนเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักของร่างกาย แต่ใช้เลือดไปเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมด

68.เลือดของกุ้งมังกรเปนสีน้ำเงิน

69.อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา

70.รู้หรือเปล่าว่าเว็บgoogleไม่ได้มีประโยชน์แค่หาข้อมูล แต่เป็นเครื่องคิดเลขได้ (ลองใส่ 5+2 หรือเลขอะไรก้อได้ในช่อง แล้วกด Search ดูจิ)

7/12/52

ทำไมต้องเรียกฮอตดอก




ฮอตดอก แปลตามตัวว่า "หมาร้อน"
แต่ไส้กรอกประกบด้วยขนมปังที่เรียกว่าฮอตดอกนั้น
ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหมา
และไม่ได้เป็นอาหารที่คนอเมริกันคิดค้นขึ้นมาอย่างที่เรามักจะเข้าใจ


ประวัติของฮอตดอกเริ่มตั้งแต่สมัยบาบิโลเนียเมื่อ ๓,๕๐๐ ปีที่แล้ว
มีลักษณะเป็นเนื้อหมักเครื่องเทศ ยัดไว้ในไส้สัตว์
ชาวโรมันเรียกอาหารประเภทนี้ว่า Salsus
ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคำว่า Sausage หรือไส้กรอกในภาษาอังกฤษนั่นเอง


ในสมัยยุคกลาง เมืองต่าง ๆ ในยุโรปได้พัฒนาสูตร รสชาติ
และรูปร่างของไส้กรอกของตนเอง
และตั้งชื่อไส้กรอกตามชื่อเมืองที่เป็นถิ่นกำเนิด เช่น ไส้กรอกเวียนนา เป็นต้น


ไส้กรอกของประเทศแถบเมดิเตอเรเนียนจะมีลักษณะแข็งและแห้ง
เพื่อไม่ให้ไส้กรอกบูดเสียได้ง่ายในอากาศร้อนแถบนั้น
ส่วนไส้กรอกของสก็อตแลนด์นิยมยัดไส้ด้วยข้าวโอ๊ต มากกว่าจะใช้เนื้อหมูหรือเนื้อวัว


ไส้กรอกที่เป็นที่นิยมกันมากที่สุดประเภทหนึ่งในเยอรมนี
คิดค้นขึ้นโดยชาวเมืองแฟรงเฟิร์ต จึงมีชื่อเรียกว่าแฟรงเฟอเตอร์
หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แฟรงค์ มีขนาดหนา นุ่ม
ใส่เครื่องเทศและรมควันอย่างดีมีรูปร่างโค้งเล็กน้อย คล้ายรูปร่างของสุนัขดัชชุนด์
จนบางคนเรียกไส้กรอกประเภทนี้ว่า ไส้กรอกดัชชุนด์
เล่ากันว่าผู้คิดไส้กรอกประเภทนี้เลี้ยงสุนัขดัชชุนด์ไว้หนึ่งตัว จึงเกิดความคิคว่า
ไส้กรอกที่มีรูปร่างเหมือนสุนัขตัวโปรดนี้จะเป็นที่นิยมของตลาดด้วย


ชาวยุโรปที่อพยพไปสหรัฐอเมริกา ได้นำไส้กรอกแฟรงเฟอเตอร์ไปด้วย
ไส้กรอกที่ประกบด้วยขนมปังเป็นที่นิยมอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอาหารว่างยอดนิยมระหว่างดูกีฬา

ในปี 1906 นักวาดการ์ตูนชื่อ โทมัส ดอร์แกน
ได้แรงบันดาลใจจากรูปร่างที่โค้งงอคล้ายสุนัขดัชชุนค์ของไส้กรอก
และจากเสียงพ่อค้า"เห่า" ตะโกนเรียกคนซื้อ
จึงได้วาดรูปสุนัขดัชชุนด์ราดด้วยมัสตาร์ดประกบด้วยขนมปัง
และเขียนบรรยายใต้รูปว่า “ซื้อหมาร้อน ๆ จ้า" (“Get your hot dogs! )

เล่ากันว่าดอร์แกนไม่สามารถสะกดคำว่า ดัชชุนด์ได้ถูกต้อง จึงใช้คำว่าหมา (dog) แทน

ปรากฏว่าคำว่าฮอตดอกกลายเป็นคำที่ติดปากคนอเมริกันทั่วไป
จนเลิกเรียกไส้กรอกด้วยคำอื่น ๆ และยังทำให้ชาวโลกคิดว่า
ฮอตดอกเป็นอาหารที่คนอเมริกันคิดขึ้นมาอีกด้วย


ที่มา 108 ซองคำถาม

ทำไมช็อกโกแลตต้องห่อด้วยกระดาษตะกั่ว(foil)

จากประสบการณ์เมื่อแกะกระดาษตะกั่ว (foil) ออกจากช็อกโกแลตในกล่องช็อกโกแลตรวมรส
เรามักจะผิดหวังเพราะช็อกโกแลตชิ้นที่ห่อไว้ไม่ได้ดูดีน่ากินกว่าชิ้นที่ไม่ได้ห่อเลย

จริง ๆ แล้วการห่อช็อกโกแลตเฉพาะบางชิ้นด้วยกระดาษตะกั่วในกล่องช็อกโกแลตของขวัญนั้น
ทำด้วยเหตุผลในแง่การนำเสนอเป็นหลัก
ช็อกโกแลตบางชิ้นที่ห่อไว้ด้วยกระดาษตะกั่วสีสันลวดลายสดใส
ช่วยทำให้ช็อกโกแลตทั้งกล่องดูสวยงามน่ากินขึ้นมาก

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้ผลิตเลือกห่อช็อกโกแลตบางชิ้น คือ
ไส้ช็อกโกแลตบางชนิดมีรสชาติและกลิ่นค่อนข้างแรงโดดเด่นมาก
จึงต้องห่อไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รสชาติและกลิ่นนั้นถูกดูดกลืนไป
โดยช็อกโกแลตชิ้นอื่นที่วางอยู่ใกล้กันในกล่อง
ช็อกโกแลตไส้ถั่วเช่นวอลนัท และไส้ที่ผสมเหล้า มักเป็นชิ้นที่ถูกห่อด้วยกระดาษฟอยล์

มีข้อสงสัยว่าการห่อช็อกโกแลตด้วยกระดาษฟอยล์จะช่วยยืดอายุบนชั้นวางจำหน่ายได้หรือไม่
คำตอบคือได้
เพราะกระดาษฟอยล์ช่วยป้องกันช็อกโกแลตไม่ให้สัมผัสกับออกซิเจนและความชื้น

อย่างไรก็ดีไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าช็อกโกแลตชนิดที่ถูกห่อเสียง่ายกว่า
ชนิดที่ "เปลือย" ในกล่องเดียวกัน
และผู้บริโภคส่วนใหญ่ทราบดีว่าช็อกโกแลตอย่างดี (ราคาแพง !)
ไม่อาจคงความสดใหม่ไว้ได้ยาวนานเท่าช็อกโกแลตแท่ง (ราคาถูกกว่า)
ที่ขายทั่วไปตามซูเปอร์มาร์เกต

ผู้ผลิตหลายรายใช้ขี้ผึ้งพาราฟิน (ไขจากการกลั่นปิโตรเลียม)
เคลือบช็อกโกแลตเพื่อให้ดูเป็นมันเยิ้มน่ากิน
แต่สารเคลือบนี้ทำให้รสชาติของช็อกโกแลตเสียไป

ในกรณีของช็อกโกแลตเคลือบประเภทนี้จุดประสงค์ของการห่อกระดาษฟอยล์ คือ
ช่วยรักษาความมันแวววาวของสารเคลือบ
ไม่ใช่การยืดวันหมดอายุของช็อกโกแลตชิ้นนั้น

ที่มา 108 ซองคำถาม

ข้อคิดดีีดีในการใช้ชีวิต ที่อยากให้ทุกคนอ่าน

.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด
ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..

.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต

..ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..

.. คนที่ไม่เคยหิว
ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม..

..ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..

.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง..

..อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่..

..เหตุผลของคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน อีกคนนึง..

..ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร..

..ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น..

..ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป..

..หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ..

..มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..

.. คนเรา ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น ที่ได้ทำ ..

..หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทางมากกว่า..


ที่มา www.watsuthatschool.com/viteput/

ทำไมเรียกปูอัดทั้งที่ทำมาจากปลา



ปูอัดนั้น ภาษาทางการเรียกว่า เนื้อปูเทียม การผลิตเนื้อปูเทียม เกิดจากความคิดที่ว่า ปลาที่จับได้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ถือว่าไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเพราะผู้บริโภคไม่นิยมราคาจึงถูกมาก ประมาณร้อยละ ๙๐ ของปลาขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า ปลาเป็ด จะถูกนำไปทำเป็นปลาป่นสำหรับใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารสัตว์ นับได้ว่าเป็นการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และแล้วบริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นก็คิดค้นนำปลาดังว่านี้มาทำเป็นเนื้อปูเทียมขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๑๘


ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพในการทำประมง และมีบริษัทผลิตเนื้อปูเทียมมานานหลายปีแล้ว ปลาที่ใช้ได้แก่ ปลาทรายแดง ปลาทรายขาว ปลาตาโต ปลาดาบ ปลากะพง ฯลฯ วิธีทำเริ่มต้นจากการนำปลามาตัดหัว ควักไส้ทิ้ง ส่งเข้าเครื่องบีบเอาแต่เนื้อปลา นำปลาบดที่ได้มาผสมเครื่องปรุงจำพวกแป้ง น้ำตาล เกลือ ผงชูรส และกลิ่นปู เสร็จแล้วนำไปทำให้สุกและทำให้เนื้อปลามีลักษณะเป็นเส้นเหมือนเนื้อปูจริง ๆ จากนั้นจึงอัดเป็นแท่งยาว ๆ แล้วตกแต่งสีให้ดูเหมือนเนื้อปูจริง ๆ บางบริษัทถึงกับอัดเนื้อปูเทียมเป็นรูปก้ามปู (ที่แกะเปลือกแล้ว) ดูน่ากิน


อย่างไรก็ตาม มีผู้บริโภคจำนวนมากคิดว่าปูอัดเป็นเนื้อปูจริง ๆ พอรู้ในภายหลังว่าทำมาจากเนื้อปลา ถึงกับเลิกกินไปเลยก็มี

ที่มา หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี

จุดแดงบนหน้าผากสตรีอินเดีย






จุดแดงที่แต้มกลางหน้าผากเรียกว่า "ติกะ" (Tika) แต่ในบางครั้งอาจเรียกว่า "บินดิ" (Bindi)
ซึ่งหมายถึงจุดที่เจิมบริเวณแสกผม โดยใช้นิ้วป้ายขึ้นไปตามรอยแสกผม
ปัจจุบันจุดบนหน้าผากสตรีอินเดีย อาจเรียกปนกันทั้ง ติกะ และ บินดี

สตรีในศาสนาพราหมณ์ฮินดูแต่โบราณนานมา เมื่อแต่งงานแล้วจะแต้มจุดแดงที่กลางหน้าผาก
เป็นสัญลักษณ์ของการมีพันธะด้านการครองเรือน ในฐานะผู้เป็นภรรยา ผู้เป็นแม่

สตรีอินเดียถือสามีเสมือนเทพ จะให้ความรักความเคารพอย่างสูง
การเจิมหน้าผากจะทำในวันแต่งงาน เมื่อคู่บ่าวสาวเดินรอบกองไฟแล้ว
พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีวิวาห์ หรือผู้เป็นเจ้าบ่าวจะเจิมหน้าผากให้เจ้าสาว
เป็นการประกาศว่าหญิงผู้นั้นเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามประเพณี
สตรีชาวอินเดียจะต้องมีจุดนี้อยู่ตราบที่สามียังมีชีวิตอยู่ และจะต้องลบออกเมื่อสามีเสียชีวิต



ในกรณีที่เลิกร้างกัน สตรีผู้นั้นจะลบจุดออกได้ต่อเมื่อเป็นการเลิกร้างโดยคำสั่งของศาล
หากสตรีผู้นั้นลบจุดติกะออกโดยที่สามียังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ได้เลิกกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
จะถือว่าเป็นการกระทำสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ

โดยทั่วไปจุดสีแดงนี้จะทำจากมูลวัวที่นำมาเผาและบดจนละเอียด
แล้วผสมกับสีแดงชาดที่ได้จากรากไม้ มูลวัวไม่ถือว่าเป็นของสกปรก
เพราะวัวเป็นพาหนะของพระเจ้า และกินพืชเป็นอาหาร
ผงสีนี้เรียกว่า "ผงวิภูติ" มีจำหน่ายตามร้านค้า ผงนี้อาจมีการนำไปทำพิธีก่อนนำมาใช้ก็ได้



ลักษณะของจุดติกะมีหลายแบบ เดิมนิยมจุดกลม คนที่ยังสาวจะนิยมจุดเล็กเพราะสวยงามกว่า
แต่พออายุมากขึ้นอาจแต้มจุดให้ใหญ่ขึ้น ปัจจุบันมีรูปแบบจุดอื่น ๆ เช่น รูปคล้ายหยดน้ำ
หรือเป็นวงกลมและมีรัศมีโดยรอบเหมือนดวงอาทิตย์
ปัจจุบันติกะพัฒนารูปแบบไปมากทั้งรูปทรงและสีสัน บางทีก็ทำเป็นสติกเกอร์เพื่อสะดวกใช้

มีข้อสังเกตว่า ในบางครั้งจุดติกะอาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของสตรีที่แต่งงานเพียงอย่างเดียว
ติกะถือว่าเป็นสิ่งมงคล ชาวอินเดียบางกลุ่มจะใช้ในโอกาสอื่น ๆ เช่นเวลาไหว้พระ
พราหมณ์จะให้ผงวิภูติ ผู้รับจะนำมาเจิมเพื่อเป็นสิริมงคล แต่ก็เป็นการเจิมเพียงชั่วคราวเท่านั้น

คนที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมอินเดียมักเข้าใจว่า
จุดแดงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นชาวอินเดีย
จึงมักแต้มจุดแดงเวลาที่แต่งกายเป็นชาวอินเดีย เช่นนางเอกในละคร
แม้ยังเป็นสาวเป็นแส้ ก็แต้มจุดแดงกับเขาด้วย
นี่เป็นเรื่องของการนำมาใช้โดยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจุดแดงจะเป็นวัฒนธรรมของพวกพราหมณ์ฮินดู
แต่สตรีชาวอินเดียที่แต่งงานแล้ว และไม่ใช่ชาวฮินดูแท้ ๆ อาจรับวัฒนธรรมนี้ไปใช้

ในชาวอินเดียบางกลุ่ม สัญลักษณ์ของสตรีที่แต่งงานแล้ว
อาจเป็นการห้อยสายสร้อยสังวาลมงคล ซึ่งสามีมอบให้

ที่มา 108 ซองคำถาม

เหตุใดศาสนาอิสลามอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่ง



คนทั่วไปมักจะรู้จักมุสลิมเพียงสองประการ คือ
มุสลิมไม่กินหมู และมุสลิมมีภรรยาได้หลายคน



จริง ๆ การมีภรรยาหลายคนเป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ

บทบัญญัติของศาสนาส่วนใหญ่ในโลกก็ไม่ได้ห้ามการมีภรรยาหลายคน
ศาสนาอิสลามนั้นอนุญาตให้ชายมีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน
ภายใต้ข้อแม้ว่าจะต้องสามารถให้ความยุติแก่ผู้หญิงทั้งสี่ได้

ความยุติธรรมในที่นี้ได้แก่ความเท่าเทียมกันในด้านการจ่ายค่าครองชีพ
(ค่าอาหาร เครื่องแต่งกาย และที่อยู่อาศัย)
ไม่ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนแก่จิตใจของภรรยาคนใดคนหนึ่งต่อหน้าภรรยาคนอื่น ๆ
และสามีต้องค้างคืนกับภรรยาแต่ละคนให้เท่า ๆ กัน

เหตุที่ ศาสนาอิสลามอนุญาตไว้เช่นนี้ เพราะอิสลามส่งเสริมให้มีลูกมาก ๆ
เพื่อจำนวนมุสลิมจะได้มีมากขึ้น
อิสลามคำนึงถึงความจำเป็นของชายที่ปรารถนาจะสืบต่อวงศ์ตระกูล
แต่ภรรยาไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้เพราะเป็นหมันหรือป่วย

อีกทั้งชายบางคนก็มีความต้องการทางเพศสูง การอนุญาตให้เขามีภรรยาเพิ่มขึ้น
(โดยที่เขาต้องเลี้ยงดูผู้หญิงใหม่ได้อย่างยุติธรรมดังกล่าวมาแล้ว)
จึงย่อมดีกว่าปล่อยให้เขาไปหาทางออกทางอื่นที่เป็นบาป

และอิสลามคำนึงว่าในโลกนี้มีพลโลกหญิงมากกว่าชาย
ทำให้หญิงจำนวนมากต้องครองตัวเป็นโสด
หากอนุมัติให้เธอแต่งงานกับชายที่มีภรรยาแล้ว
ซึ่งสามารถให้ความสุขและความยุติธรรมแก่เธอได้ ย่อมเป็นการดีกว่า



อย่างไรก็ตาม การอนุญาตให้มีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน
เป็นข้อยกเว้นที่เปิดโอกาสให้กระทำได้ แต่มิได้หมายความว่า
ศาสนาอิสลามจะส่งเสริมให้ชายทุกคนมีภรรยาหลายคน
และในหมู่ชาวมุสลิม ชายที่มีภรรยาหลายคนเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็นับว่าน้อยมาก

ในอียิปต์กฎหมายอนุญาตให้มีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน
แต่ปรากฏว่าผู้ที่มีภรรยามากกว่าหนึ่งคนมีเพียง 2.75 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ที่มา 108 ซองคำถาม

ค่ายธรรมทายาท

ดาบคมที่ไร้ฝัก ระเบิดที่ปราศจากสลักนิรภัย อาจนำอันตรายมาสู่เจ้าของและคนรอบข้างได้ทุกเมื่อฉันใด วิชาความรู้ที่ไม่มีศีลธรรมกำกับย่อมนำภัยพิบัติมาสู่ผู้เป็นเจ้าของความรู้และอยู่ใกล้เคียงได้ฉันนั้น บุคคลที่ประกอบด้วยวิชาความรู้ดี และความประพฤติดี จึงเป็นบุคคลที่มีความสมบูรณ์ เป็นบุคคลที่สังคมต้องการ และแสวงหา การฝึกอบรมค่ายธรรมทายาทเป็นกระบวนการที่ต้องการให้เกิดผู้มีความรู้คู่คุณธรรม เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ ที่มีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล มีโลกทัศน์และชีวทัศน์มีความสมดุลย์ระหว่างสมองทั้งสองด้าน มีความ สมดุลย์ระหว่างโลกกับธรรม กายกับจิตวิญญาณ เหตุกับผล สติกับปัญญา ก่อเกิดพลังสร้างสรรค์ตนเอง และอุทิศตนเพื่อรับใช้สังคมอย่างรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปของโลก โดยใช้คำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักในการอบรม

แนวคิดหลักในการอบรม
การอบรมในค่ายธรรมทายาท เกิดจากการนำปรัชญาการศึกษาทางพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ ซึ่งมีองค์ประกอบอยู่ 4 ประการ คือ
1. พัฒนากาย : การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพอย่างถูก
ต้องดีงาม
2. พัฒนาศีล : การพัฒนาการอยู่ร่วมในสังคมด้วยดี อย่างเกื้อกูลเป็นประโยชน์
และมีอาชีพที่ถูกต้อง
3. พัฒนาจิต : การฝึกอบรมเพื่อให้เกิดจิตที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะ ๓ ประการ คือ
1.คุณภาพจิต : มีคุณธรรม สร้างเสริมจิตให้งดงาม
2.สมรรถภาพจิต : ความสามารถของจิต
3.สุขภาพจิต : มีจิตที่มีสุขภาพดี
4. พัฒนาปัญญา : ฝึกอบรมเพื่อให้เกิดปัญญา 5 ระดับ คือ
ระดับที่ 1 : ความรู้ความเข้าใจในศิลปวิทยาการ
ระดับที่ 2 : การรับรู้เรียนรู้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
ระดับที่ 3 : การคิดวินิจฉัยโดยบริสุทธิ์ใจ
ระดับที่ 4 : การเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริง รู้ทาง
เสื่อมทางเจริญ และเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง รู้วิธีแก้ไข
ปัญหาและสร้างสรรค์ความสำเร็จ ที่ทำให้พัฒนาตน
พัฒนาชีวิตและสังคมให้เจริญดีงามยิ่งๆ ขึ้นไป
ระดับที่ 5 : รู้เท่าทันธรรมดาของโลกและชีวิต เข้าใจความจริง
แท้จิตใจเป็นอิสระ หลุดพ้นจากทุกข์โดยสมบูรณ์

ปรัชญาค่าย
ทํนโต เสฎโฐ มนุสเสสุ = ในหมู่มนุษย์ผู้ที่ฝึกตนดีแล้ว ประเสริฐที่สุด
….เราเชื่อว่า….
“ คนจะดีได้ก็เพราะการฝึก…ฝึกมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น
เราเชื่อว่าคนเรานั้นพัฒนาได้ ให้ดีได้ เท่าที่เขาต้องการ
พัฒนาที่ใจของคนเรานี่แหละ คือ การพัฒนาที่ถูกต้อง
คนมีใจพัฒนาแล้ว จะไปสร้างประโยชน์ สร้างความดี สร้างวัตถุอะไรก็ได้”
2
วิธีการอบรม
๑. เสริมสร้างจิต กระตุ้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนสภาพทางจิต ยกจิตจากไร้คุณภาพไปสู่ดุลยภาพ โดยคิดใหม่ คิดล่วงหน้า เพื่อขจัดพฤติกรรมแบบเก่าๆ แล้วทดแทนด้วยความคิดแบบใหม่ เพื่อสร้างพฤติกรรมใหม่ในทางสร้างสรรค์
๒. กระตุ้นให้เกิดความมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ที่ดีงาม มีความเคารพ
๓. ปลูกจิตสำนึกในการทำงานเป็นทีม เป็นทีมงานธรรมทายาท มีวิญญาณแห่งการทำงานเป็นทีม คุณธรรม คือหัวใจของความสำเร็จ รู้จักใช้ระบบการสื่อสารยุคไร้พรมแดนเพื่อก้าวไปสู่โลกแห่งศตวรรษใหม่อย่างรู้เท่าทัน มุ่งไปข้างหน้า มิใช่ถอยหลังและหยุดอยู่กับอดีต
๔. ปรับตัวเข้า นำภาวะการเปลี่ยนแปลง กล้าปรับ กล้ารื้อระบบ กล้านำ กล้าทำ กล้าเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ละมานะทิฎฐิได้
๕. ฝึกให้มีวินัยในตนเอง และเคารพกฎกติกาทางสังคม รู้จักการเป็นคนดีทางจริยธรรม ทั้งในการทำ การพูด
๖. ตั้งฐานจิต พิชิตการทำงาน เพื่อสร้างอุทยานแห่งความสำเร็จ (สัมมาสติ)
๗. ฝึกให้เก่งสุด อดทนเป็นเลิศและเย็นสุด (สัมมาสมาธิ) อยู่ตรงกลางระหว่างใหม่กับเก่า สุขกับทุกข์ ดีกับชั่ว ต่ำกับสูง ซ้ายกับขวา หน้ากับหลัง บนกับล่าง ร้อนกับเย็น เห็นความจริงปรากฏแจ่มชัด ผ่องใส เบิกบาน

สัญญาใจค่ายธรรมทายาท
คิดกว้าง มองไกล ใฝ่สูง
การอบรมเน้น ๔ ส. คือ สนุก สาระ สงบ และสำนึก

กติกาค่ายธรรมทายาท
กติกาในการอยู่ ค่ายพุทธบุตร นั้น ไม่เน้นระเบียบเป็นข้อ ๆ เหมือนทั่วไป แต่อาศัยการแนะนำพร่ำสอน ให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความสำนึกว่าอะไรควรทำ และอะไรไม่ควรทำ และสามารถบังคับตนเองได้ โดยสอนเน้นการประพฤติทางกาย วาจา ใจ ดังต่อไปนี้
ก.การประพฤติทางกาย
-ยืนเรียบร้อย -เดินเรียบร้อย -นั่งเรียบร้อย
-นอนเรียบร้อย -รับประทานอาหารเรียบร้อย -ไม่ทำร้ายร่างกายผู้อื่น
-ไม่ทำลายของรักของผู้อื่น -ไม่ออกไปนอกบริเวณค่าย -ไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
-ไม่เสพของมึนเมาทุกชนิด -ไม่ซื้ออาหารมารับประทาน -ไม่ถือเอาสิ่งของผู้อื่นด้วยเจตนาขโมย
-เดินผ่านพระอาจารย์ หรือครูอาจารย์ ให้ยกมือไหว้ทุกครั้ง -ต้องสำรวมกายตลอดเวลา
ข.การประพฤติทางวาจา
-ไม่พูดเท็จ พูดแต่คำจริง
-ไม่พูดคำหยาบ พูดแต่ถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดมีหางเสียง
-ไม่พูดยุยุงให้แตกความสามัคคีกัน พูดถ้อยคำที่มีประโยชน์เป็นสุภาษิต
-พูดด้วยจิตเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นได้ปัญญา มีความสุข
-พูดกับพระอาจารย์ต้องประนมมือไหว้ทุกครั้ง
ค.การประพฤติทางใจ
-มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
-เมื่อเห็นผู้อื่นมีความทุกข์ มีน้ำใจเอ็นดูคิดช่วยเหลือให้พ้นทุกข์
-เมื่อเห็นผู้อื่นได้รับความสุข ก็พลอยยินดีด้วย ไม่ริษยาไม่คิดทำลาย
-มีน้ำใจเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว โดยไม่ถือคติว่า “ เมื่อคราวต้องเสียสละเราออกหน้า เมื่อมีผลประโยชน์เข้ามาเราอยู่หลัง”
-รู้จักให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธแค้น ไม่พยาบาทจองเวรผู้ใด
-ปล่อยวางได้ไม่ถือมั่นด้วยกิเลส ไม่ต่อความยาวสาวความยึด
สรุปความว่า
พุทธบุตร ต้องมีกายอ่อนน้อม วาจาอ่อนหวาน จิตใจอ่อนโยน

ระเบียบค่ายธรรมทายาท
ผู้เข้าค่ายฝึกอบรมคุณธรรมในค่ายธรรมทายาท ต้องปฏิบัติตน ดังนี้
- มีระเบียบ ในการเข้าออกห้องประชุม เปลี่ยนฐาน นั่งทำกิจกรรม
- สะอาด ภาชนะอาหาร ที่พัก ห้องประชุม
- สงบ ในห้องประชุม เวลาฟังธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม และเข้านอน
- ทำกิจกรรมตามลำดับก่อนหลัง เสมอ
- ตื่นตัวอยู่เสมอ ปรับตัวให้ทันเวลา ทันสถานการณ์ อย่าเฉื่อยชา อย่านิ่งดูดายเมื่อนกหวีด
- ครั้งที่หนึ่งดังขึ้น มีเวลาเพียงสองนาที ในการรวมกลุ่ม เมื่อนกหวีดครั้งที่สองดังขึ้น เราพร้อมที่จะปฏิบัติการ
- ยอมรับความจริง เมื่อผิดต้องยอมรับผิด อย่าเฉไฉ ปัดสวะให้ผู้อื่น พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสภาพ ทุกสถานการณ์ด้วยสติปัญญา ไม่บ่น ไม่ท้อ
- ฝึกตนเองอยู่เสมอ ทางกายและวาจาทางกาย ต้องประสานมือตลอดเวลาที่อยู่ในค่าย ยกเว้นทำงาน ไม่ยืนหรือเดินรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ และประนมมือพูดกับ พระ ยืนตรงพูดกับครูอาจารย์เสมอ ทางวาจา พูดกับพระ มีหางเสียงว่า “เจ้าค่ะ” “ครับผม” เสมอ ละมานะทิฎฐิ ไม่เอาเปรียบเพื่อน ไม่เห็นแก่ความสบาย
- ไม่อยู่สองต่อสองระหว่างชายกับหญิง
- ไม่ออกนอกบริเวณค่ายก่อนได้รับอนุญาต
- ห้ามนำสิ่งของมีค่าเครื่องประดับติดตัว คณะพระพระอาจารย์และครูอาจารย์ไม่รับผิดชอบ
- บันทึก สิ่งที่ได้รับการอบรมทุกกิจกรรม และก่อนนอนบันทึกประจำวันส่ง
- ร่วมกิจกรรมทุกอย่าง กิจกรรมทุกอย่างจะทำให้เรามีการพัฒนา
- ไม่ส่งเสียงคุยกันในห้องประชุม ห้องอาหารและห้องนอน อยู่ในอาการอันสงบสำรวม
- ห้ามเสพสิ่งเสพติดทุกชนิด ถ้าพบเห็น หรือทราบ จะต้องได้รับโทษขั้นหนัก
- ห้ามก่อการทะเลาะวิวาทในค่าย หากเกิดขึ้นต้องให้ออกจากการอบรมทั้งสองฝ่าย

ค่ายธรรมะเพื่อจิตใจเป็นสุขสงบ

เดินจงกรม สงบกาย สงบใจ



สมาธิเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะหมายถึงการมีสติที่จะจัดการและควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ราบรื่น ดังนั้น หากได้รับการฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่เด็กๆ จนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ จะทำให้เด็กคนนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีจิตใจสงบเป็นสุข และมีความมั่นคงทางอารมณ์ การเข้าค่ายธรรมะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสมาธิให้เด็กๆ ได้

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (ทีเค พาร์ค) ได้จัดค่ายธรรมะกับเยาวชนขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการค้นพบตัวตนกับทีเค พาร์ค ที่วัดป่าสุนันทวาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีหลวงพ่อชา สภทฺโท พระนักปฏิบัติผู้โด่งดังเป็นเจ้าอาวาส ว่าไปแล้วค่ายนี้จะแตกต่างจากค่ายทั่วๆไปที่เราเคยพบเห็นที่เน้นเรื่องกิจกรรมสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจ แต่ค่ายนี้กลับให้ความสำคัญเรื่องการรู้จักอยู่กับตัวเอง สังเกตพฤติกรรม รู้จักสำรวมกาย วาจา ใจ และได้ฝึกนั่งสมาธิอีกด้วย การที่จัดให้เด็กทั้งชายและหญิงตั้งแต่ ป.1 จนถึง ม.6 เกือบ 20 คนได้มาฝึกการใช้ชีวิตร่วมกันที่วัดป่าสุนันทวนาราม ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาและแมกไม้เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่ตื่นตอนเช้ามืดจนกระทั่งนอนหลับ อาจเป็นเรื่องที่วุ่นวายน่าดูแต่แล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้น

อาจารย์อารี สิริโยธิน หัวหน้าวิทยากรจากโรงเรียนรุ่งอรุณ กล่าวว่า การจัดค่ายครั้งนี้เน้นกิจกรรม 3 อย่างในตัวเด็ก คือ กาย วาจา ใจ ทางกายฝึกให้เด็กมีวินัยในตัวเอง กำกับตัวเองให้ได้ วาจา ต้องรู้จักปิดวาจา อยู่กับตัวเองเวลารับประทานอาหาร รวมทั้งการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น ส่วนใจ เด็กๆ จะรู้จักสงบจิตใจเพื่อฝึกความอดทนในช่วงเดินจงกรม เนื่องจากเด็กสมัยนี้มีสภาพแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้าหลายๆ อย่างที่กระตุ้นให้เขาต้องเร่งรีบตลอดเวลา ทั้งเกม คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือที่ทำให้เราไม่รู้จักการฟังคนอื่น จนกลายเป็นคนไม่มีสมาธิหรือสมาธิสั้น ทำอะไรได้เพียงชั่วครู่ต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแล้ว

“ผลพวงของการรับวัฒนธรรมต่างชาติ สภาพสังคม ทำให้ในแต่ละวันมีเรื่องคิดมากจนเกือบลืมวิถีเดิมของชาวพุทธ คือการได้พาเด็กๆ ไปวัดในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา รู้จักการสวดมนต์ นั่งฟังคำสอนจากพระ แต่ครูก็ดีใจท่ามกลางสังคมที่แปรเปลี่ยนไป ก็มีผู้ปกครองหลายคนมีความตระหนักในเรื่องนี้จึงส่งเด็กมาค่ายธรรมมะ แม้จะเป็นระยะสั้นๆ เพียง 3 วันแต่เมื่อเขากลับไปบ้าน ครูเชื่อว่าเขาจะเห็นคุณค่าและความสำคัญของกิจกรรมที่จัดขึ้น เช่น การสวดมนต์เป็นเวลานาน 2-3 ชั่วโมง หรือการเดินจงกรม เป็นต้น” อาจารย์อารี กล่าว

อาจารย์อารี กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่พาเด็กมาเข้าค่ายธรรมะหลายครั้งในเด็กแต่ละกลุ่มที่มีอายุแตกต่างกันไป สังเกตว่าการพาเด็กมาเข้าค่ายธรรมะสามารถช่วยขัดเกลาด้านจิตใจของเด็กๆ ได้เยอะทีเดียว เมื่อมีสมาธิใจก็จะมีความประณีต ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการแสดงออก คือจากเด็กที่แข็งกระด้าง พูดจาไม่สุภาพ ก็อ่อนโยนขึ้น รู้จักประมาณตัวเอง รู้กาลเทศะ เวลา และสถานที่ ทั้งยังมีไหวพริบเพราะสมองดี ปัญญาก็เกิด พอมีปัญญาย่อมทำให้ฉลาดที่จะเลือกรับสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต

ขณะที่พระอาจารย์หนูพรหม สุชาโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม บอกว่า การเข้าค่ายครั้งนี้มีส่วนในการพัฒนาจิตใจของเด็กได้มากทีเดียว เพราะอย่างน้อยได้ฝึกให้เขารู้จักการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ฝึกสมาธิ ฝึกสวดมนต์ ซึ่งเมื่อกลับไปแล้วพ่อแม่ก็ควรที่จะสานต่อโดยการพาเด็กๆไปวัดบ้างในวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งเรื่องธรรมะ สมาธิ จะค่อยๆ ซึมซับลงไปในจิตใจของเด็กๆ เหมือนการปลูกต้นไม้ที่ค่อยๆ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ดูแลรักษาจึงจะได้ผลออกมาคุ้มค่า เด็กๆ เป็นไม้อ่อนว่าง่ายสอนง่าย พ่อแม่จึงต้องปลูกฝังสิ่งดีๆ ให้

“วัยเด็กเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อย่างในญี่ปุ่นวัยรุ่นมีข่าวฆ่าตัวตายกันเยอะ เพราะว่าเขาไม่มีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสกับความสงบ ฝึกปฏิบัติสงบจิต-สงบใจในวัดอย่างบ้านเรา เวลามีปัญหาก็หาทางออกไม่ได้ ส่วนบ้านเราเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา ในต่างจังหวัดเด็กได้มาวัดกับพ่อแม่ ย่ายาย ส่วนเด็กในกรุงเทพฯ ก็น่าเป็นห่วงนะ ไม่ค่อยได้ไปวัด เติบโตขึ้นมาพ่อแม่มักพาไปห้างแทน” พระอาจารย์หนูพรหม กล่าว

พระอาจารย์ กล่าวด้วยว่า ทั้งเรื่องของสมาธิและความอดทนเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตในประจำวัน เวลาที่เราโกรธใครก็ตาม เราก็เอาความอดทนไปใช้ ไม่ทำตามอารมณ์โกรธ มิฉะนั้นไฟโกรธจะยิ่งลุกลามเผาตัวเอง เพื่อนที่ดีต่อกันมานานอาจกลายเป็นศัตรูได้ในพริบตา จริงอยู่ที่เรื่อง ความโลภ โกรธ หลงเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนทั่วไป หากแต่เราต้องรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองแล้วจะนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องดีงาม



นั่งเขียน นอนเขียน ตามความสบายใจ



บรรยากาศภายในวัดเอื้อต่อการขัดเกลาจิตใจเด็ก

กะละมังข้าว เป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกที่ทุกคนที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนี้ต้องใช้เมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร ครูเฉิม-บุญญรัชฎ์ สาลี แห่งโรงเรียนรุ่งอรุณ อธิบายว่า การรับประทานข้าวด้วยกะละมังแทนที่จะใช้จานเหมือนวัดทั่วไปนั้น เป็นการจำลองการฉันอาหารของพระโดยใช้บาตร เมื่อใช้ชามใบใหญ่ที่เป็นสังกะสี สิ่งแรกทำให้เด็กๆ ต้องรู้จักการกะประมาณ เลือกตักอาหารได้ตามใจชอบแต่ต้องรับประทานให้หมด อีกข้อหนึ่งคือการรับประทานต้องมีสติอยู่กับตัว ไม่ให้มีเสียงช้อนกระทบกับกะละมัง สรุปแล้วสำรวมทั้งกายวาจาและใจขณะรับประทานอาหาร นอกจากนี้ ก่อนรับประทานในแต่ละมื้อมีการท่องบทพิจารณาอาหารที่ระลึกถึงบุญคุณของอาหารดังว่า

“อาหารนี้ ข้าพเจ้าจะรับประทานเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ปราศจากโรคภัย ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี เพื่อปฏิบัติธรรม ไม่รับประทานเพื่อบำรุงกิเลส ตัณหา อุปาทาน ขอให้ท่านผู้บริจาคและผู้บริการทุกท่านจงมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากโรคภัย อันตราย ทั้งปวง เทอญ” ในช่วง 3 สังเกตได้ว่าไม่มีน้องๆ คนใดรับประทานอาหารเหลือเลยแม้จะใช้ชามใบใหญ่ก็ตาม อาจเป็นเพราะซาบซึ้งในพระคุณของแม่โพสพ

ตัวเรือนนอน ปราศจากไฟฟ้า ในช่วงเย็นหลังจากทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เด็กๆ ทุกคนต้องรีบอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปเดินจงกรมและทำวัตรเย็นเวลา 18.00 น. เมื่อทำวัตรเสร็จจะนั่งฟังธรรมะจากพระอาจารย์ที่ผลัดกันมาสอนธรรมะที่ให้ข้อคิดดีๆ แก่เด็กๆ จากนั้นก็เดินกลับยังที่พักเพื่อเตรียมเข้านอน เนื่องจากที่วัดแห่งนี้ปั่นไฟฟ้าใช้เอง ซึ่งเริ่มเปิดตอนตี 4 และปิดตอน 4 ทุ่ม หลังจากนั้นทุกคนก็เข้านอนภายในโรงนอนที่มืดสนิทจนเห็นดาวเต็มท้องฟ้าพร้อมกับฟังเสียงจักจั่นและเรไรจนหลับไป

เดินจงกรม ท่ามกลางธรรมชาติ-ป่าเขา ที่วัดแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 1,500 ไร่จึงไม่แปลกที่เส้นทางเดินจงกรมในแต่ละเช้าจะไม่ซ้ำกัน ทุกคนจะได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติอย่างแท้จริงว่าสดชื่นและน่ารื่นรมย์ แม้จะเดินวันละ 2 กิโลเมตรแต่ไม่รู้สึกว่าไกล เพราะสองข้างทางมีต้นไม้ เสียงนกร้องคล้องใจเด็กให้เดินอย่างมีสมาธิ

เด็กรุ่นใหม่ ห่างไกลวัด

นางสิริกร มณีรินทร์ ประธานกรรมการ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ ซึ่งเดินทางมาร่วมกิจกรรมที่วัดป่าสุนันทวนารามร่วมกับเด็กๆ ด้วย กล่าวว่า จัดค่ายนี้ขึ้นมาเพื่อให้เด็กได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตตามแบบอย่างพระพุทธศาสนา ที่มีการฝึกสมาธิ ฝึกจิตใจให้สงบ ทั้งนี้ อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเด็กสมัยนี้สนใจกับวัตถุนิยมมากจนเกินไป และน้อยครั้งจะมีโอกาสเข้ามาสัมผัสการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวก เมื่อมาวัดแล้วเด็กๆ ได้มาสัมผัสธรรมชาติ พื้นดิน ต้นไม้ มีบรรยากาศที่เงียบสงบ ตื่นเช้ามารู้สึกสดชื่น ไม่ต้องกังวลกับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น

“อย่างน้อยที่สุดเขาจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น ช่วยเหลือตัวเอง รู้จักว่าการกราบพระกับกราบคนแตกต่างกันอย่างไร เป็นการปลูกฝังสมาธิ สติ และปัญญาไปพร้อมๆ กัน เมื่อกลับไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง ซึ่งจะเป็นตัวจุดประกายให้เด็กรู้สึกว่าวัดไม่ใช่เป็นสถานที่สำหรับคนรุ่นปู่ย่าตายาย ใครๆ ก็ไปวัดได้ อีกทั้งหลักธรรมที่พระอาจารย์สอนเขาก็สามารถนำไปใช้ได้จริงๆ ท่ามกลางวิกฤตของสังคม เมื่อเขาได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาในเบื้องต้น ก็น่าจะส่งผลดีต่อเขาไม่น้อยและก็นำไปใช้ได้ทุกโอกาส”



ตักอาหารอย่างมีสติ



น้องๆ เห็นพ้อง ‘ค่ายนี้ฝึกความอดทนได้จริงๆ’

น้องยีน-วิภาวี ยามัสเสถียร นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ บางรัก บอกว่า อยากมาค่ายนี้เพราะกำลังขึ้น ม.6 ใกล้สอบเอนทรานซ์แล้วจึงอยากมาสงบจิต สงบใจ ก่อนที่จะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบในระยะอันใกล้นี้

“ยีนว่ามาค่ายนี้ช่วยฝึกความอดทนให้ยีนได้มากทีเดียว เพราะเราต้องสวดมนต์นานๆ เดินจงกรมไกลๆ ตอนที่อยู่กรุงเทพฯ เวลาที่เราอ่านหนังสือ ก็ชอบทำตามใจตนเอง เช่น พออ่านหนังสือได้ 1 ชั่วโมงก็ต้องหยุดพักก่อน ซึ่งจริงๆ แล้วเราอดทนได้มากกว่านั้น เพียงแต่ที่ผ่านมาเรายังไม่เคยลองและไม่เคยรู้ว่าตัวเองทำได้ พอกลับไปต้องฝึกให้อย่างน้อยได้เท่ากับที่เคยนั่งสวดมนต์ที่วัดป่าฯ ที่รู้จักขีดการพักที่ไม่นานเกินไป จากนั้นจึงไปอ่านต่อ”

สำหรับหนูน้อยวัยซนอย่าง ด.ช.ณัฐชนน ฉายารัตนศิลป์ หรือน้องนน วัย 12 ปี จากโรงเรียนทอสี เขตคลองตัน เล่าพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า ไม่เคยนั่งสวดมนต์นาน 3 ชั่วโมงขนาดนี้ อยู่ที่บ้านสวดมากที่สุดได้เพียง 15 นาทีก็หมดความอดทน ต้องลุกขึ้นเดิน มาค่ายนี้ก็ดีอย่างแรกได้ความอดทน สองได้ฝึกสมาธิ ทำให้ไม่กลัวผี เพราะตอนที่เดินกลับจากทำวัตรเย็นต้องเดินกลับจากศูนย์เยาวชนมาที่พัก สองข้างทางมืดสนิท มองไปบนท้องฟ้าเห็นดวงดาว อยู่กรุงเทพฯ สงสัยว่าทำไมถึงไม่มีดาวบ้าง อีกอย่างมาค่ายนี้แล้วได้เพื่อนเยอะ ทำให้ได้ใกล้ชิดวัด เพราะอยู่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้ไปวัด
ส่วนออมสิน-จิรสิน จิรายุวัฒนกุล จากโรงเรียนอนุบาลสามเสน บอกว่า จะนำเรื่องสมาธิไปใช้กับการเรียน เพราะถ้ามีใจจดจ่อกับการเรียนจะทำให้สนใจกับการเรียนมากขึ้น เมื่อก่อนสนใจแต่เกม ส่วนกิจกรรมชอบการเดินจงกรมมาก เพราะพระอาจารย์พาเดินไปชมธรรมชาติ ได้กลิ่นน้ำค้างยามเช้า ทำให้จิตใจสงบได้มากขึ้น

ผู้ปกครองตั้งใจอยากให้ลูกจิตใจสงบก่อนเปิดเรียน

นิภา ฉายารัตนศิลป์ คุณแม่ของน้องนน บอกว่า อยากให้น้องนนไปค่ายครั้งนี้เพื่อนเตรียมตัวสงบจิต สงบใจให้มีสมาธิ รวบรวมสติก่อนเปิดเรียน เพื่อว่าไปโรงเรียนแล้วจะได้มีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น ไม่วอกแวก ผลการเรียนออกมามีคุณภาพ ที่สำคัญค่ายนี้แตกต่างไปจากค่ายอื่นตรงที่ให้ความสำคัญเรื่องสมาธิ ฝึกสงบจิตใจ ซึ่งไม่ค่อยเห็นหน่วยงานอื่นจัดบ่อยนัก

“ปกติเขาไม่ค่อยมีระเบียบ ทำอะไรได้ไม่นาน กลับมาแล้วเขาน่าจะดีขึ้นบ้าง อีกอย่างเขาจะได้รู้จักดูแลตัวเอง ช่วยเหลือเพื่อนฝูง บางทีแม่จู้จี้ เขาก็ไม่ชอบ เมื่อไปวัดเขาจะได้รู้หลักการใช้ชีวิตจริงๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีแม่เคียงข้างสักระยะ” คุณแม่นิภา กล่าว

ขณะที่คุณแม่พรทิพย์ จุลสัญญา แม่ของน้องเหว่ย วัย 8 ขวบ บอกว่า ไม่ได้คาดหวังอะไรมากเพราะเขายังเด็กอยู่ แต่อย่างน้อยค่ายนี้เปิดโอกาสฝึกให้เขารู้จักการดำเนินชีวิตตามแบบพระพุทธศาสนาในวัดป่าท่ามกลางธรรมชาติ ที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่วัดป่าสุนันทวนาราม แต่ยังเชื่อว่าน้องเหว่ยน่าจะได้รู้จักสมาธิและความสงบติดตัวกลับมาบ้าง

แม้ว่าค่ายเยาวชนกับธรรมะครั้งนี้จะจบลงในระยะเวลา 3 วัน แต่เชื่อว่าคำสอนจากพระอาจารย์ การฝึกนั่งสมาธิ เดินจงกรม รวมไปถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่เด็กๆ ได้ตั้งใจมาเข้าค่ายครั้งนี้จะติดตัวเขากลับไป ไม่ว่าจะนานแค่ไหนแม้ยังไม่เห็นผลทันตาในทันที อย่างน้อยที่สุดเขามีโอกาสเข้ามาเรียนรู้สัมผัสชีวิตจริงภายใต้ร่มพระพุทธศาสนา ค่อยๆ ซึมซับลงไปในจิตใจ ขัดกล่อมให้มีสติ รู้เท่าทันกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน

29/11/52

สิ่งแรกของโลก!!O.O...*

ผ้าพิมพ์ลายผืนแรก

ผู้คิดค้นวิธีการพิมพ์ลวดลายต่างๆ และสีสันสวยงามลงบนผืนผ้าเป็นคนแรกคือชาวอังกฤษ ชื่อ เซอร์โรเบิรต์ ฟิล

เขาทดลองวาดภาพบนสังกะสีเรียบ แล้วนำผ้าไปวางทับ ก่อนที่จะใช้เครื่องอัด อัดทับผืนผ้าอีกชั้นหนึ่ง และเมื่อคลายเครื่องอัดออกก็ปรากฎลวดลายสวยงามที่ผืนผ้านั้น และจากนั้นเอง เขาก็ได้พัฒนาเครื่องพิมพ์ลวดลายต่างๆลงบนผ้าให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น จนผ้าพิมพ์ลายได้รับความนิยมแพร่หลายตราบจนทุกวันนี้




กางเกงยีนส์ตัวแรก

กางเกงยีนส์ที่คนทั่วโลกทั้งหญิงและชายนิยมสวมใส่กันอยู่ทุกวันนี้นั้น เป็นผลงานของชายผู้หนึ่ง ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างตัดเสื้อผ้าในเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เขาผู้นี้มีชื่อว่า ลีวาย สเตราส์ จุดมุ่งหมายของเขาก็คือ การผลิตกางเกงขายาวเพื่อให้คนงานทำเหมืองได้สวมใส่ ซึ่งจะต้องเป็นกางเกงที่มีความทนทาน สมบุกสมบันเป็นเยี่ยม ซึ่งต่อมาภายหลัง มิได้มีแต่เพียงคนงานเท่านั้นที่นิยมชมชอบ แต่คนทุกสาขาอาชีพก็นิยมใส่กางเกงยีนส์กันทั่วทั้งโลก

ปากกาลูกลื่นด้ามแรก

นักหนังสือพิมพ์ชื่อ ปิโร ชาวฮังการี ได้พยายามคิดค้นปากกาแบบใหม่ที่ไม่ต้องคอยเติมน้ำหมึกบ่อย ๆ ให้เลอะเทอะ และเขียนได้คล่องกว่าปากกาหมึกซึม โดยการใส่เหล็กกลมขนาดเล็กเข้าไปในตัวปากกาเพื่อบังคับน้ำหมึกและให้เขียนได้อย่างลื่นไหล
ต่อมาในปี พ.ศ. 2486 เขาได้พัฒนาน้ำหมึกที่ใช้กับปากกาลูกลื่นได้ผลดีมาจนถึงทุกวันนี้


ต้นตำรับยางรถยนต์

ล้อของรถยนต์หรือล้อของรถประเภทต่าง ๆ ที่ทำด้วยยางที่ใช้กันทั่วไปทุกวันนี้นั้น ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2382 โดยผู้วชาญชื่อ ชาร์ลส์ กูดเยียร์ ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน เขาพบว่า ด้วยเนื้อยางเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศและต่อการใช้งานอย่างหนักได้
เขาจึงได้นำยางดิบผสมกับกำมะถันและตะกั่ว และลนด้วยไฟ จึงได้เนื้อยางที่มีความยืดหยุ่นและสามารถคงรูปเดิมอยู่ได้ ไม่ว่าสภาพอากาศหรืออุณหภูมิจะเปลี่ยนไปจนกระทั่งนำมาทำเป็นล้อรถดังเช่นทุกวันนี้


จักรยานคันแรก

รถจักรยานคันแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานเป็นผลงานของชาวสก็อตแลนด์ชื่อ แพทริก แมคมิลแลน เมื่อปี ค.ศ. 1839 ซึ่งต่อมามันเป็นพาหนะที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
จักรยานยุคแรก ๆ ใช้ล้อที่เป็นยางตัน แต่ภายหลังได้พัฒนายางที่สามารถสูบลมเข้าไปได้ ทำให้มีความเบา วิ่งได้เร็ว และลดแรงสะเทือน
อีกทั้งยังคิดระบบเบรก เพื่อให้หยุดได้ทุกเมื่ออย่างมีประสิทธิภาพ

เฮลิคอปเตอร์ลำแรก

ผู้คิดสร้างเฮลิคอปเตอร์เป็นคนแรกคือ อิกอร์ ซิคอร์สกี้ ชาวรัสเซีย ด้วยความคิดที่จะให้มันบินขึ้นลงได้ในแนวดิ่ง ดังนั้น มันจึงไม่จำเป็นต้องใช้ทางวิ่งเหมือนเช่นเครื่องบินทั่ว ๆ ไป
ซิคอร์สกี้ ได้ย้ายมาอยู่อเมริกา และสร้างเฮลิคอปเตอร์ได้สำเร็จ ในปี ค.ศ. 1939 ซึ่งหลังจากนั้น มันก็ได้ถูกพัฒนาให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังเช่นทุกวันนี้

บอลลูนเที่ยวแรก
การที่ได้พาตัวเองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อล่องลอยไปไหนต่อไหนได้อย่างอิสระนั้น เป็นความต้องการของมนุษย์มานานแล้ว

การเดินทางโดยบอลลูนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่มีความท้าทายเป็นอย่างยิ่งของชาวยุโรป ที่ชื่อ มองโกไฟเออร์ โดยหลังจากลองผิดลองถูกมานาน จนในที่สุดเขาได้สร้างบอลลูนขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยอากาศร้อนได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1783 และนั่นนับเป็นก้าวแรกของการเดินทางด้วยบอลลูนอย่างแท้จริง

คนแรกที่คิดค้นระเบิด !

อัลเฟรด โนเบล ชาวสวีเดน ได้สร้างระเบิดไดนาไมต์สำเร็จเป็นคนแรก จุดประสงค์ของเขาก็คือใช้มันระเบิดหินเพื่อการอุตสาหกรรม และระเบิดขุนเขาในการสร้างเส้นทางคมนาคม แต่ต่อมา…ระเบิดที่เขาสร้างกลับถูกนำไปใช้ในการเข่นฆ่าประหัตประหารกัน จึงทำให้เขาเสียใจมาก
ในที่สุด เขาจึงได้ก่อตั้งมูลนิธิขึ้นชื่อว่า มูลนิธิรางวัลโนเบล เพื่อมอบรางวันแก่คนทำความดีในสาขาต่าง ๆ ซึ่งรางวัลโนเบลนี้เป็นรางวัลอันทรงเกียรติ และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก

หลอดไฟฟ้าดวงแรก

มนุษย์สามารถเอาชนะความมืดได้อย่างถาวร ก็เมื่อร้อยกว่าปีนี้เอง
เมื่อ โธมัส เอดิสัน ชาวอเมริกัน คิดหลอดไฟฟ้าได้สำเร็จ โดยใช้ด้าย นำมาเผาจนกลายเป็นถ่านคาร์บอน บรรจุไว้ในหลอดแก้วที่ดูดอากาศออก ทำให้ไม่ลุกเป็นไฟ
หลอดไฟฟ้าหลอดแรกของเขาสามารถส่องสว่างได้นานกว่า 40 ชั่วโมงเลยทีเดียว
และนับจากนั้น โลกก็สว่างไสวไปทั่ว ด้วยหลอดไฟนานาชนิดตราบจนกระทั่งทุกวันนี้

กำเนิดโทรทัศน์

กว่าจะมาเป็นโทรทัศน์สีจอกว้างจอแบน ที่มีระบบอันทันสมัยนานาประการหลายสิบหลายร้อยยี่ห้อดังเช่นทุกวันนี้นั้น หากย้อนหลังไปในปี ค.ศ. 1925 โทรทัศน์ขาว-ดำ เครื่องแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้นได้นั้น เป็นผลงานการประดิษฐ์ของ จอห์น ลอกกี้ เบรียด ชาวสก๊อตแลนด์
จอห์น ได้มุมานะทดลองการรับส่งสัญญาณภาพอยู่นานหลายปีจนสำเร็จ โดยสามารถส่งภาพวัตถุไปยังเครื่องรับอีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ห่างกันได้อย่างชัดเจน และนับจากวันนั้น โทรทัศน์ก็ครองใจคนเรื่อยมา

เครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องแรก

ก่อนที่จะมาเป็นแผ่นซีดีเพลงแผ่นเล็ก ๆ ที่เราคุ้นเคยกันอย่างทุกวันนี้นั้น ต้นกำเนิดก็มาจากเครื่องเล่นและแผ่นเสียงขนาดใหญ่ที่ โธมัส อัลวา เอดิสัน นักประดิษฐ์ชาวอเมริกันได้สรรค์สร้างขึ้นมานั่นเอง
เอดิสัน ได้ทดลองผลิตแท่นหมุน และพูดให้เสียงผ่านไปตามจังหวะ โดยอาศัยเข็มที่จะขูดลงไปบนร่องของแผ่นตะกั่ว และก็ปรากฏเสียงของตนเองดังขึ้น ซึ่งหลังจากนั้น เขาก็ได้พัฒนาปรับปรุงจนเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงได้สำเร็จ

เครื่องซักผ้าเครื่องแรก

มนุษย์ซักเครื่องนุ่งห่ม ตลอดจนแพรพรรณต่าง ๆ ด้วยมือ และสิ่งอำนวยความสะดวกรอบกายมานานนับพันปีมาแล้ว ในศตวรรษที่ 16-17 ได้มีการค้นคิดเครื่องซักผ้าขึ้นมาใช้งาน โดยมีถังไม้ใหญ่บรรจุน้ำและผ้าซึ่งหมุนได้ด้วยแกนที่มีด้ามสำหรับหมุนด้วยมือ ผ้าจะผ่านลูกกลิ้งซึ่งคล้ายกับที่สำหรับบดปลาหมึก ตราบจนถึงปี ค.ศ. 1907 ชาวอเมริกันชื่อ อัลวา ฟิสเซอร์ ได้สร้างเครื่องซักผ้าที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าได้สำเร็จ จนเป็นเครื่องซักผ้าให้เราได้ใช้กันอย่างสะดวกสบายอย่างเช่นทุกวันนี้

นักบินหญิงคนแรก

หากได้ยินข่าวถึงเรื่องการขับเครื่องบินของผู้หญิงในปัจจุบัน คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าย้อนหลังกลับไปในปี พ.ศ. 2475 แล้วละก็นับว่ามันเป็นสิ่งท้าทายความสามารถของผู้หญิงเป็นอย่างมากโดยแท้ เธอคือ เอมิเลีย เอียร์ฮาร์ท หญิงชาวอเมริกันที่ขึ้นเครื่องบินเครื่องยนต์ลูกสูบใบพัด บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคได้สำเร็จเป็นคนแรกของโลก

กำเนิดมอเตอร์ไซค์

เมื่อ แพทริก แมคมิลแลน ประดิษฐ์จักรยานสองล้อถีบได้ไม่นาน ก็มีผู้คิดเครื่องจักรไอน้ำขนาดเล็ก นำมาติดตั้งเข้ากับจักรยานสองล้อถีบ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับในด้านประสิทธิภาพ เพราะไม่มีความสะดวกสบายในการนำมาใช้งาน
จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1885 ก้อทเลี๊ยบ เดมพ์เลอร์ ก็ได้คิดค้นดัดแปลงจักยานสองล้อที่สามารถติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้นำมันเชื้อเพลิงได้เป็นผลสำเร็จ พร้อมทั้งปรับปรุงระบบกันสะเทือน ตลอดจนระบบเบรก และล้อให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

กำเนิดเครื่องบิน

ชาวโลกจะไม่มีวันได้นั่งไปบนอากาศยานเหินฟ้าข้ามแผ่นดิน และมหาสมุทรกันอย่างสบาย ดังเช่นทุกวันนี้ ถ้าหากพี่น้องตระกูลไรท์ คือ วิลเบอร์และออร์วิล ไม่ได้ช่วยกันสร้างมันขึ้นมา
ตอนแรกไม่มีใครเชื่อว่า สิ่งประดิษฐ์ติดปีกพร้อมมอเตอร์สิ่งนี้จะสามารถบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ แต่เมื่อมันบินได้จริง ๆ คนทั่วโลกก็ต้องทึ่ง
จากวันนั้น จึงทำให้วิวัฒนาการการบินเจริญตามรอยและก้าวหน้าต่อไปตราบถึงปัจจุบัน
วิลเบอร์ไรท์ มีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ. 2410-2455 และออร์วิล มีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ. 2414-2491

ระเบิดปรมาณลูกแรก

ในปี พ.ศ. 2488 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจที่จะยุติสงครามโลกครั้งที่สองให้ได้โดยเร็วด้วยการใช้อาวุธชนิดใหม่ที่เพิ่งคิดค้นได้สำเร็จ สิ่งนั้นก็คือ ระเบิดปรมาณู อันเป็นระเบิดที่มีอำนาจในการทำลายล้างสูงส่งมากมายมหาศาล
ระเบิดปรมาณูลูกแรกถูกทิ้งจากเครื่องบินลงมายังเมือง ฮิโรชิมา ของญี่ปุ่น ทำให้เมืองทั้งเมืองพินาศย่อยยับ ผู้คนล้มตายนับแสน ที่เหลือก็บาดเจ็บสาหัสพิกลพิการไปจนตลอดชีวิต
จนถึงทุกวันนี้ ยังมีคำถามอยู่เสมอ ๆ ว่า จำเป็นด้วยหรือกับการฆ่าคนเป็นแสนเป็นล้านเพียงเพื่อยุติสงคราม

กำเนิดวิทยุ
ภายหลังจาก เฮนริช เฮิร์ช ได้ค้นพบคลื่นวิทยุในปี ค.ศ. 1887 แต่ต่อมา นักทดลองค้นคว้าชื่อ กูลิเอลโม มาร์โคนี ชาวอิตาเลียน ได้ทดลองพัฒนาต่อมา จนเป็นคนแรกที่นำเอาคลื่นวิทยุมาใช้ส่งข่าวสารไปทั่วโลก
ในช่วงแรกนั้น การส่งวิทยุมักจะเป็นการส่งข่าวสาร แต่ต่อมามีการประดิษฐ์วิทยุที่มีความถี่ต่าง ๆ ที่สามารถเลือกสถานีได้ตามความปรารถนา ไม่ว่าจะฟังข่าว ฟังเพลง หรือรายการรูปแบบต่าง ๆ

กำเนิดเครื่องทำความเย็น

มนุษย์เราในสมัยโบราณรู้จักที่จะทำเครื่องทำความเย็นขึ้นใช้ด้วยสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว เช่น นำน้ำหรือของเหลวมาเป็นตัวลดอุณหภูมิ
ในยุคศตวรรษที่ 19 ได้มีการประดิษฐ์เครื่องทำความเย็นและทำน้ำแข็งเป็นครั้งแรก โดยใช้หลักความดันอากาศ และของเหลวที่ได้มาจากน้ำยางเสีย ๆ แต่ก็ไม่แพร่หลาย
จนกระทั่งถึงต้นยุคศตวรรษที่ 20 เครื่องทำความเย็นได้ถูกพัฒนาโดยชาวฝรั่งเศส ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น จนสามารถผลิตออกขายได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน จนกลายมาเป็นเครื่องทำความเย็นหลากหลายยี่ห้อดังทุกวันนี้

กระดาษแผ่นแรก

ผู้คิดทำกระดาษขึ้นใช้เป็นคนแรกคือชาวจีนชื่อ ไซ หลุน เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว
และสิ่งที่จะปรากฏร่องรอยจารึกบนแผ่นกระดาษก็คือน้ำหมึก ซึ่งก็เป็นชาวจีนอีกนั่นแหละ ที่เป็นผู้คิดค้นทำขึ้นมาใช้
โดยใช้น้ำกับกาว และเขม่าจากตะเกียงน้ำมันผสมผสานกัน จนเป็นน้ำหมึก

กำเนิดทอฟฟี่

เม็ดอม หรือทอฟฟี่ ที่เรานิยมลิ้มลองอยู่ทุกกวันนี้นั้น ผู้คิดคนแรกคือ ยอน แมคกินทอช ชาวสก๊อต เขาครุ่นคิดมาตลอดว่า ทำอย่างไรจึงจะนำลูกกวาดหรือลูกอมเหล่านี้ติดตัวไปได้ทุกที่ โดยไม่ละลายเหนียว และไม่ต้องใส่ขวดอยู่ตลอดเวลาให้เกะกะ เขาจึงได้นำลูกกวาดห่อหุ้มด้วยกระดาษกันน้ำ ที่มีสีและลวดลายที่สวยงาม ซึ่งเมื่อนำออกขาย ก็ปรากฏว่า ขายดิบขายดีเป็นอย่างมาก และนับจากนั้น ทอฟฟี่ก็ถูกผลิตขึ้นอย่างมากมายด้วยรสต่าง ๆ นานาชนิด จนถึงทุกวันนี้




จาก :: http://www.baanmaha.com/community/f119/index2.html

26/11/52

กำเนิดกาแฟ

แปลโดย ลานา อัมรีล


http://www.musliminventionsthailand.com/main/index.php


ชาวอเมริกันและยุโรปมักคิดว่าอาหารของชาวมุสลิมมีแค่แกงกะหรี่ เคบับ จาปาตี และพิตต้า ไม่เคยคิดกันเลยว่าอาหารและเครื่องดื่มอีกมากมาย, โดยเฉพาะของโลกตะวันตก, ถือกำเนิดมาจากโลกมุสลิม


หนึ่งในตัวอย่างนั้นก็คือ ‘กาแฟ’ – อาหารมื้อเช้าของทุกบ้าน


เรามาดูกันว่ากาแฟมีต้นกำเนิดจากไหน พัฒนามาเป็นกาแฟที่เราดื่มกันในทุกวันนี้ได้อย่างไร


กาแฟถูกคิดค้นขึ้นมาโดยชาวมุสลิมในศตวรรษที่ 9 เรื่องมีอยู่ว่า ชายอาหรับชื่อ คาลิด (Khalid) กำลังเลี้ยงแพะอยู่ที่คัฟฟา (Kaffa) ภาคใต้ของประเทศเอธิโอเปีย เขาสังเกตเห็นว่า หลังจากแพะของเขากินผลไม้เล็กๆ บางชนิดแล้ว พวกมันจะมีชีวิตชีวาขึ้น เขาเลยต้มผลไม้เหล่านี้เพื่อทำกาแฟชนิดแรกของโลก จากนั้นกาแฟถูกนำจากเอธิโอเปียไปยังประเทศเยเมน ซึ่งชาวเยเมนเรียกว่า ‘อัล-ฆาฮ์วา’ (Al-Qahwa) เชื่อกันว่าคนกลุ่มแรกที่นิยมดื่มกาแฟคือชาวมุสลิมซูฟี ซึ่งใช้กาแฟเป็นสารกระตุ้นให้ไม่ง่วงนอน สามารถซิเกรต่อพระเจ้าได้ตลอดทั้งคืน ในปลายศตวรรษที่ 15 เครื่องดื่มนี้ถูกนำไปยังเมืองเมกกะ ซาอุดิอารเบีย แล้วไปยังตุรกี และไคโร อียิปต์ ในศตวรรษที่ 16 จากนั้นกาแฟแพร่หลายไปทั่วโลกมุสลิมผ่านทางนักเดินทาง ผู้แสวงบุญ (ประกอบพิธีฮัจย์ที่เมกกะ) และพ่อค้า


คำเรียก ‘กาแฟ’ ในภาษาอารบิกว่า ‘ฆาฮ์วา’ (qahwa) ได้กลายมาเป็น ‘คาฮ์เว’ (kahve) ในภาษาตุรกี จากนั้นกลายมาเป็นภาษาอิตาเลียนว่า ‘คาฟเฟ’ (caffe) จนในที่สุดกลายมาเป็นภาษาอังกฤษว่า คอฟฟี่ (coffee หรือ กาแฟ ในภาษาไทย)


กาแฟในอิตาลี


บันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่ากาแฟแพร่เข้าสู่ยุโรปครั้งแรกผ่านทางอิตาลี โดยการค้าระหว่างเวนิซกับอาฟริกาเหนือ, อียิปต์, และโลกตะวันออก ซึ่งนำสินค้าจากโลกมุสลิม, รวมทั้งกาแฟด้วย, ไปยังเวนิซ ซึ่งเป็นท่าเรือชั้นนำของยุโรป ต่อมาเมื่อได้ลิ้มรสกาแฟแล้ว พ่อค้าเมืองเวนิซก็รู้ว่าสามารถทำเงินจากสินค้าชนิดนี้ได้แน่ๆ พวกเขาเลยเร่งนำเข้ากาแฟกันขนานใหญ่ตั้งแต่ปี 1570 เป็นต้นมา ตอนแรกแพร่เข้าสู่วงสังคมชั้นสูงก่อน จากนั้นไปสู่คนทุกระดับ


ร้านกาแฟแห่งแรกของเวนิซเปิดขึ้นในปี 1645 จากนั้นภายในร้อยปีเศษคือปี 1763 เวนิซมีร้านกาแฟอย่างน้อยก็ 218 แห่ง ท้ายที่สุด กาแฟก็กลายเป็นสินค้าหลักระหว่างเวนิซและเมืองต่างๆ เช่น อมาลฟี ตูริน เจนัว มิลาน ฟลอเรนซ์ และโรม และต่อมาก็แพร่หลายสู่เมืองอื่นๆ ในยุโรป


กาแฟในอังกฤษ


ร้านกาแฟแห่งแรกในอังกฤษเปิดขึ้นในปี 1650 โดยนักธุรกิจชื่อ ‘จาคอบ’ ร้านของเขาตั้งอยู่ที่แองเจิล เขตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของอีสต์ออกซ์ฟอร์ด


ดาร์บี (Darby) ระบุว่า กาแฟแพร่เข้าสู่อังกฤษผ่านการติดต่อกับจักรวรรดิออตโตมัน โดยพ่อค้าตุรกีชื่อ ‘ปาสกัว โรซี’ (Pasqua Rosee) เป็นคนแรกที่ขายกาแฟที่ร้านกาแฟในจอร์จ-ยาร์ด, ลอมบาร์ดสตรีท ลอนดอน


ต่อมาในปี 1658 ร้านกาแฟอีกแห่งหนึ่งก็เปิดขึ้นมาที่คอร์นฮิลล์ ชื่อร้าน ‘สุลต่านเนสเฮด’ (Sultaness Head) และเพียง 50 ปีให้หลัง ในปี 1700 ลอนดอนมีร้านกาแฟถึง 500 แห่ง


กาแฟในฝรั่งเศส


กัลแลนด์ (Galland) ได้ระบุว่า กาแฟแพร่เข้าสู่ฝรั่งเศสครั้งแรกในปี 1644 โดยชายชาวมาร์กเซยนำเมล็ดกาแฟกลับมาจากอิสตันบุล เขามิได้นำกลับมาแค่กาแฟ แต่ขนเครื่องต้มกาแฟมาด้วย


ในปี 1671 ร้านกาแฟแห่งแรกของฝรั่งเศสก็ถือกำเนิดขึ้นมาที่เมืองมาร์กเซยในย่านแลกเปลี่ยนเงินตรา และต่อมาแพร่ไปสู่เมืองอื่นๆ ของฝรั่งเศส


กาแฟในประเทศอื่นๆ ของยุโรป


หลังจากอิตาลี อังกฤษ และฝรั่งเศสแล้ว ประเทศอื่นๆ ก็เริ่มนิยมดื่มกาแฟ อย่างเช่นที่เยอรมนี หลังจากกองทัพออตโตมันต้องพ่ายไปหลังล้อมกรุงเวียนนาในปี 1683 สิ่งที่กองทัพเติร์กทิ้งไว้หลังเลิกทัพก็คือเมล็ดกาแฟจำนวนมหาศาล กองทัพยุโรปที่ยกมาช่วยออสเตรียในตอนนั้น, รวมทั้งเยอรมันและโปแลนด์และประเทศอื่นๆ, ต่างก็ขนเมล็ดกาแฟกลับบ้านเกิดเมืองนอน อย่างไรก็ตาม กว่าเยอรมนีจะมีร้านกาแฟห่งแรกก็ปาเข้าไปในปี 1720


ในขณะที่ชาวดัทช์ (เนเธอร์แลนด์) รู้จักเมล็ดกาแฟจากชาวมุสลิมในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากนั้นพวกเขาก็ทำไร่กาแฟขนาดใหญ่ที่เกาะชวา อินโดนีเซีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นอาณานิคมของดัทช์ และพ่อค้าดัทช์ก็ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้เมื่อกลายเป็นผู้นำในการนำเข้าและจำหน่ายกาแฟของยุโรป


กาแฟในทวีปอเมริกา


ฝรั่งเศสเป็นผู้นำกาแฟสู่ทวีปอเมริกาผ่านส่วนต่างๆ ของทวีปที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในขณะนั้น โดยได้เริ่มทำไร่กาแฟที่มาร์ตินิคและเวสต์อินดีส


ครัวซองต์ (croissant)


เมื่อมีกาแฟก็ต้องมีครัวซองต์ ถือเป็นของคู่กันสำหรับมื้อเช้า ตำนานมีหลายแบบ แต่ที่ฮิตสุดก็คือครัวซองต์เกิดขึ้นในปี 1686 เมื่อคนทำขนมปังชาวฮังกาเรียนได้ทำขนมปังรูปจันทร์เสี้ยว (เครสเซนต์ – Crescent) ขึ้นมารับประทานเพื่อฉลองชัยชนะที่มีต่อกองทัพจักรวรรดิมุสลิมออตโตมันเติร์ก (เติร์กล้อมกรุงบูดาเปสต์) ทั้งนี้เพราะธงจักรวรรดิออตโตมันเป็นรูปดาวและจันทร์เสี้ยว ในเวลาต่อมาขนมปังรูปเครสเซนต์หรือจันทร์เสี้ยวนี้ก็เรียกกันทั่วโลกว่า ‘ครัวซองต์ – croissant’ ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส (เรียกว่ากินซะให้หายแค้น เนื่องจากฮังการีเป็นอาณานิคมของพวกมุสลิมเติร์กซะหลายร้อยปี ดาวและจันทร์เสี้ยวคือสัญลักษณ์ของจักรวรรดิออตโตมันที่เป็นผู้นำของโลกมุสลิมมา 600 ปีเต็มจนสิ้นสุดในปีค.ศ.1922 คนส่วนใหญ่ก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสัญลักษณ์ของอิสลาม ทั้งๆ ที่อิสลามไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ – อีกประการหนึ่ง ตำนานครัวซองต์มีหลายเวอร์ชั่น แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับออตโตมัน – ผู้แปล)


บทสรุป


บทความชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทด้านอื่นๆ ของโลกมุสลิมที่มีต่อยุโรป นอกเหนือไปจากด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ศิลปะ และสถาปัตยกรรม โลกมุสลิมมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมยุโรปแม้กระทั่งอาหารและเครื่องดื่ม และเรื่องราวของกาแฟก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของบทบาทชาวมุสลิมเท่านั้น.


ที่มา: The Coffee Trail: Origins of the Muslim beverage. Foundation for Science Technology and Civilization (FSTC Limited). 25 June 2003.


http://www.muslimheritage.com/features/default.cfm?ArticleID=378


http://en.wikipedia.org/wiki/Coffee


http://en.wikipedia.org/wiki/Croissanthttp://www.musliminventionsthailand.com/main/thirdpage.php?style=preview&spv=29&tpv=138

16/11/52

การป้องกันโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ในช่วงการประกอบพิธีฮัจย์

ทางการซาอุดิอาระเบียให้ความสำคัญและเตรียมความพร้อมกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ในช่วงของการประกอบพิธีฮัจย์

นายณรงค์ ดูดิง ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยได้เปิดเผยว่าในขณะที่มีผู้แสวงบุญจากหลายประเทศได้เดินทางมาประกอบพิธีฮัจย์ในปีนี้เป็นจำนวนมากและเมื่อรวมกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบียจะมีจำนวนมากถึง 4 ล้านคน ดังนั้นทางการซาอุดิอาระเบียจึงให้ความสำคัญต่อการป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นอย่างมาก

โดยได้กำหนดมาตรการสำคัญเพื่อการนี้หลายประการตั้งแต่การรณรงค์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐและภาคเอกชนที่จะต้องทำการติดต่อให้บริการผู้แสวงบุญ รวมถึงเชิญชวนให้ประชาชนผู้อาศัยอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบียที่มีความประสงค์จะเดินทางมาประกอบพิธีฮัจย์ทุกคนได้มารับการฉีดวัคซีนก่อน

โดยเมื่อเริ่มการรณรงค์นั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ของซาอุดิอาระเบียได้เป็นผู้ทำการฉีดวัคซีนให้กับบุตรสาวของตนเองเป็นคนแรก สำหรับมาตรการป้องกันชาวต่างชาติได้มีการติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิไว้ที่ท่าอากาศยานนานาชาติซึ่งจากรายงานทราบว่าได้ตรวจพบผู้แสวงบุญชาวต่างชาติที่มีเชื้อไข้หวัดนี้เพียง 2 ราย จากจำนวนผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศ 600,000 คน ซึ่งได้กักตัวไว้เพื่อทำการรักษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ทางการซาอุดิอาระเบียยังได้สร้างเครือข่ายเป็นการเฉพาะเพื่อให้แพทย์ทุกโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนทุกแห่งได้รายงานตรงให้ศูนย์เฝ้าระวังได้ทราบอย่างทันทีเมื่อมีการตรวจพบผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะมีอาการไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 เพื่อทำการส่งต่อมายังโรงพยาบาลที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ

ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย ยังกล่าวอีกด้วยว่าในขณะนี้หน่วยแพทย์ไทยซึ่งทำหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลผู้แสวงบุญชาวไทยก็ได้ให้ความสำคัญต่อการติดตามป้องกันโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่นี้เป็นอย่างมากเช่นกันแต่เป็นที่น่ายินดีที่ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการพบโรคนี้ในกลุ่มผู้แสวงบุญชาวไทยแต่อย่างใด

เครดิต

ศูนย์ข่าวฮัจย์ไทย กรมประชาสัมพันธ์ รายงานจากนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย

เศรษฐกิจพอเพียง

เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัวระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์

ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลง

ทั้งภายนอกและภายในทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผน และการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต

และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสมดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียรมีสติปัญญาและความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุสังคมสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
(ประมวลและกลั่นกรองจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ตามหนังสือที่ รล.0003/18888 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2542สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง กทม.)

เครดิต

http://www.muslimthai.com/

8/11/52

10 วิธีการเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหว

FROM DOUG COPP"S ARTICLE ON THE "TRIANGLE OF LIFE",
จากบทความของดัก คอบบ์ เรื่อง "สามเหลี่ยมชีวิต"
Edited for MAA Safety Committee brief เรียบเรียงสำหรับการสรุปให้คณะกรรมการด้าน
ความปลอดภัย MAA

My name is Doug Copp. I am the Rescue Chief and Disaster Manager of the
American Rescue Team International (ARTI), the world"s most experienced
rescue team. The information in this article will save lives in an earthquake.

ผมชื่อ ดัก คอบบ์ ผมเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัยและผู้จัดการด้านพิบัติภัยของทีมกู้ภัยนานาชาติแห่งสหรัฐฯ ซึ่ง
เป็นทีมกู้ภัยที่มีประสบการณ์มากที่สุดในโลก ข้อมูลในบทความนี้จะช่วยชีวิตคนในกรณีแผ่นดินไหว

I have crawled inside 875 collapsed buildings, worked with rescue teams
from 60 countries, founded rescue teams in several countries, and one of
the United Nations experts in Disaster Mitigation for two years. I have
worked at every major disaster in the world since 1985.

ผมเคยคลานเข้าไปในตึกที่ถล่มมา
875 ตึก เคยทำงานกับหน่วยกู้ภัยจาก 60 ประเทศ ก่อตั้งหน่วยกู้ภัย
ในหลายประเทศ และเป็นเหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการอพยพผู้คนกรณีเกิดพิบัติภัยขององค์การ
สหประชาชาติมา 2 ปี ผมได้ทำงานกับพิบัติภัยใหญ่ๆ ในโลกมาตั้งแต่ปี 1985

In 1996 we made a film, which proved my survival methodology to be correct.
We collapsed a school and a home with 20 mannequins inside. Ten mannequins
did "duck and cover," and the other ten mannequins used my "triangle of
life" survival method. After the simulated earthquake, we crawled
through
the rubble and entered the building to film and document the results. The
film showed that there would have been zero percent survival for those
doing duck and cover; and 100 percent survivability for people using my
method of the "triangle of life."

เมื่อปี 1996 เราได้ทำภาพยนต์ขึ้นมาเรื่องหนึ่งซึ่งได้พิสูจน์ว่าวิธีการรักษาชีวิตของผมถูกต้อง เราได้
ถล่มโรงเรียนและบ้านที่มีหุ่นมนุษย์ 20 ตัวอยู่ภายใน หุ่น 10 ตัว "มุดและหาที่กำบัง" และอีกสิบตัวใช้
วิธีการรักษาชีวิตแบบ "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม หลังจากแผ่นดินไหวทดลอง เราคลานผ่านซากปรักหัก
พังและเข้าไปในตึกเพื่อถ่ายภาพและเก็บข้อมูลของผลที่เกิด ในภาพยนต์แสดงให้เห็นว่าอัตราการอยู่รอด
ของพวกที่มุดและหาที่กำบังคือศูนย์ และโอกาสรอด 100% สำหรับพวกที่ใช้วิธี "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม

This film has been seen by millions of viewers on television in Turkey and
the rest of Europe, and it was seen in the USA, Canada and Latin America on
the TV program.

ภาพยนต์ชุดนี้ได้ผ่านสายตาของผู้ชมโทรทัศน์เป็นล้านๆ คนในตุรกี และส่วนที่เหลือของยุโรป เคยออก
อากาศทางโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกา คานาดา
และลาตินอเมริกา

The first building I ever crawled inside of was a school in Mexico City
during the 1985 earthquake. Every child was under its desk. Every child was
crushed to the thickness of their bones. They could have survived by lying
down next to their desks in the aisles.

ตึกแห่งแรกที่ผมได้คลานเข้าไปคือโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองเม็กซิโกซิตี้ในแผ่นดินไหวปี 1985 เด็กทุก
คนอยู่ใต้โต๊ะเรียน เด็กทุกคนถูกอัดแบนจนกระดูกแหลก พวกเขาอาจจะมีชีวิตรอดด้วยการนอนราบกับพื้น
ตรงบริเวณทางเดินข้างๆ โต๊ะเรียนของตัวเอง

At that time, the children were told to hide under something. Simply
stated, when buildings collapse, the weight of the ceilings falling upon
the objects or furniture inside crushes these objects, leaving a space or
void next to them. This space is what I call the "triangle of life". The
larger the object, the stronger, the less it will compact. The less the
object compacts, the larger the
void, the greater the probability that the
person who is using this void for safety will not be injured.

ในเวลานั้น เด็กๆ ได้รับคำแนะนำให้หลบใต้อะไรบางอย่าง อธิบายอย่างง่ายๆ เมื่อตึกถล่ม น้ำหนัก
ของเพดานที่ตกลงมาบนสิ่งของหรือเครื่องเรือนที่อยู่ภายในจะทับทำลายสิ่งของเหล่านั้น เหลือที่ว่างหรือ
ช่องว่างข้างๆ มัน ที่ว่างเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า "สามเหลี่ยมชีวิต" สิ่งของชิ้นยิ่งใหญ่ ยิ่งแข็งแรง
โอกาสถูกทับอัดยิ่งน้อย โอกาสที่สิ่งของถูกทับอัดยิ่งน้อย ช่องว่างก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น
โอกาสที่คนที่อาศัยช่อง
ว่างเหล่านั้นหลบภัยจะไม่เป็นอันตรายก็ยิ่งมาก

The next time you watch collapsed buildings, on television, count the
"triangles" you see formed. They are everywhere. It is the most common
shape.

ครั้งต่อไปที่คุณดูอาคารที่ถล่มในโทรทัศน์ ลองนับ "สามเหลี่ยม" ที่เกิดขึ้นที่คุณเห็นดู มันทีอยู่เต็มไปหมด
ทุกที่ เป็นรูปทรงที่เห็นได้มากที่สุดอยู่ทั่วไป

TEN TIPS FOR EARTHQUAKE SAFETY

สิบวิธีเพื่อความปลอดภัยยามแผ่นดินไหว

1) Almost everyone who simply "ducks and covers" when buildings collapse
are crushed to death. People who get under objects, like desks or cars, are
crushed.

1) เกือบทุกคนที่ "มุดและหาที่กำบัง" เมื่ออาคารถล่มถูกทับอัดจนตาย คนที่เข้าไปอยู่ใต้สิ่งของ อาทิ
โต๊ะหรือรถยนต์ถูกอัดทับ

2) Cats, dogs and babies often naturally curl up in the fetal position.
You should too in an earthquake. It is a natural safety/survival instinct.
You can survive in a smaller void. Get next to an object, next to a sofa,
next to a large bulky object that will compress slightly but leave a void
next to it.

2) แมว หมา และเด็กทารก โดยธรรมชาติมักจะขดตัวในท่าเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา คุณควรทำเช่น
กันในกรณีแผ่นดินไหว มันเป็นสัญชาติญาณเพื่อความปลอดภัย/รักษาชีวิต คุณสามารถมีชีวิตรอดในช่อง
ว่างที่เล็กกว่า ไปอยู่ข้างๆ สิ่งของ ข้างเก้าอี้โซฟา ข้างของหนักๆ ชิ้นใหญ่ๆ ที่จะบี้แบนไปบ้างแต่ยัง
เหลือที่ว่างข้างๆ มันไว้

3) Wooden buildings are the safest type of construction to be in during an
earthquake. Wood is flexible and moves with the force of the earthquake. If
the wooden building does collapse, large survival voids are created. Also,
the wooden building has less concentrated, crushing weight. Brick buildings
will break into individual bricks. Bricks will cause many injuries but less
squashed bodies than concrete slabs.

3) อาคารไม้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ปลอดภัยที่สุดที่จะอยู่ภายในขณะแผ่นดินไหว ไม้มีความยืดหยุ่นและเคลื่อน
ตัวตามแรงของแผ่นดินไหว ถ้าอาคารไม้จะถล่มจะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่เพื่อช่วยชีวิต และอาคารไม้
ยังมีน้ำหนักทับทำลายที่เป็นอันตรายน้อยกว่า อาคารอิฐจะแตกพังเป็นก้อนอิฐมากมาย ก้อนอิฐเหล่านี้
เป็นสาเหตุของการบาดเจ็บ แต่จะทับอัดร่างกายน้อยกว่าแผ่นคอนกรีต

4) If you are in bed during the night and an earthquake occurs, simply roll
off the bed. A safe void will exist around the bed. Hotels can achieve a
much greater survival rate in earthquakes, simply by posting a sign on the
back of the door of every room telling occupants to lie down on the
floor,
next to the bottom of the bed during an earthquake.

4) หากคุณกำลังนอนอยู่บนเตียงตอนกลางคืนและเกิดแผ่นดินไหว เพียงกลิ้งลงจากเตียง ช่องว่างที่
ปลอดภัยจะเกิดรอบๆ เตียง โรงแรมจะสามารถเพิ่มอัตราผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวได้ โดยเพียงติด
ป้ายหลังประตูในทุกห้องพักบอกให้ผู้เข้าพักนอนราบกับพื้นข้างๆ ขาเตียงระหว่างแผ่นดินไหว

5) If an earthquake happens and you cannot easily escape by getting out the
door or window, then lie down and curl up in the fetal position next to a
sofa, or large chair.

5) หากมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นและคุณไม่สามารถหนี้ออกมาง่ายๆ ทางประตูหรือหน้าต่าง ก็ให้นอนราบและ
ขดตัวในท่าทารกในครรภ์ข้างๆ เก้าอี้โซฟาหรือเก้าอี้ตัวใหญ่ๆ

6) Almost everyone who gets under a doorway when buildings collapse is
killed. How ? If you stand under a doorway and the doorjamb falls forward
or backward you will be crushed by the ceiling above. If the doorjamb falls
sideways you will be cut in half by the doorway. In either case, you will
be killed!

6) เกือบทุกคนที่อยู่ตรงช่องประตูตอนตึกถล่มไม่รอด เพราะอะไร? หากคุณยืนอยู่ตรงช่องประตูและวง
กบประตูล้มไปข้างหน้าหรือข้างหลัง คุณจะโดนเพดานด้านบนตกลงมาทับ หากวงกบประตูล้มออกด้านข้าง
คุณจะถูกตัดเป็นสองท่อนโดยช่องประตู ไม่ว่ากรณีไหน คุณไม่รอดทั้งนั้น!

7) Never go to the stairs. The stairs have a different "moment of
frequency" (they swing separately from the main part of the building).The
stairs and remainder of the building continuously bump into each other
until structural failure of the stairs takes place. The people who get on
stairs before they fail are chopped up by the stair treads - horribly
mutilated. Even if the building doesn"t collapse, stay away from the
stairs. The stairs are a likely part of the building to be damaged. Even if
the earthquake does not collapse the stairs, they may collapse later when
overloaded by fleeing people. They should always be checked for safety,
even when the rest of the building is not damaged.

7) อย่าใช้บันไดเด็ดขาด บันไดมี "ช่วงการเคลื่อนตัว" ที่แตกต่างไป
(บันไดจะมีการแกว่งแยกจากตัวอาคาร) บันไดและส่วนที่เหลือของตัวอาคารจะชนกระแทกกันอย่างต่อ
เนื่องจนเกิดปัญหากับโครงสร้างของบันได
คนที่อยู่บนบันไดก่อนที่บันไดจะถล่มถูกตัดเป็นชิ้นโดยชั้น
บันได--ถูกแยกส่วนอย่างน่าสยดสยอง ถึงอาคารจะไม่ถล่มก็ควรอยู่ห่างบันไดไว้ บันไดเป็นส่วนของ
อาคารที่มีโอกาสถูกทำให้เสียหาย ถึงแม้แผ่นดินไหวจะไม่ได้ทำให้บันไดถล่ม มันอาจถล่มในเวลาต่อมา
เมื่อรับน้ำหนักมากเกินไปจากคนที่กำลังหนี้ มันควรได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยเสมอ ถึงแม้ส่วนที่
เหลือของอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายก็ตาม

8) Get near the Outer Walls Of Buildings or Outside Of Them if possible.
It is much better to be near the outside of the building rather than
the
interior. The farther inside you are from the outside perimeter of the
building the greater the probability that your escape route will be
blocked.

8) ไปอยู่ใกล้กำแพงด้านนอกของอาคารหรือออกจากอาคารถ้าเป็นไปได้ จะเป็นการดีกว่ามากที่จะอยู่
ใกล้ส่วนนอกของอาคารมากกว่าจะอยู่ที่ส่วนในของอาคาร คุณยิ่งอยู่ลึกเข้าไปหรือไกลจากบริเวณภาย
นอกของอาคารมากเท่าไหร่ โอกาสที่ทางหนี้ของคุณจะถูกปิดกั้นยิ่งมีมาก

9) People inside of their vehicles are crushed when the road above falls in
an
earthquake and crushes their vehicles; which is exactly what happened
with the slabs between the decks of the Nimitz Freeway. The victims of the
San Francisco earthquake all stayed inside of their vehicles. They were all
killed. They could have easily survived by getting out and sitting or lying
next to their vehicles. Everyone killed would have survived if they had
been able to get out of their cars and sit or
lie next to them. All the
crushed cars had voids 3 feet high next to them, except for the cars that
had columns fall directly across them.

9) คนที่อยู่ภายในรถยนต์ถูกทับอัดเมื่อถนนด้านบนตกลงมาเพราะแผ่นดินไหวและทับรถของพวกเขา นี้เป็น
สิ่งที่เกิดขึ้นกับแผ่นคอนกรีตระหว่างชั้นของถนนหลวงนิมิทซ์ ผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดจากแผ่นดินไหวที่ซาน
ฟรานซิสโกอยู่ในรถของตัวเอง พวกเขาตายทั้งหมด พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ง่ายๆ ด้วยการออก
จากรถและนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างๆ รถตัวเอง คนที่ตายทุกคนอาจรอดได้ถ้าพวกเขาสามารถออกจากรถ
และนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างรถตัวเอง รถที่ถูกทับอัดทุกคันมีช่องว่างสูง 3 ฟุตอยู่ข้างๆ ยกเว้นรถที่ถูกเสา
คาดตกทับกลางคันรถ

10) I discovered, while crawling inside of collapsed newspaper offices and
other offices with a lot of paper, that paper does not compact. Large
voids are found surrounding stacks of paper.

10) ผมค้นพบ--ขณะที่คลานเข้าไปในซากสำนักงานหนังสือพิมพ์และสำนักงานอื่นที่มีกระดาษจำนวน
มาก--ว่ากระดาษไม่อัดตัว จะพบช่องว่างขนาดใหญ่รอบๆ กองกระดาษที่เรียงทับซ้อนกัน

Spread the word and save someone"s
life.

กระจายข้อมูลนี้และช่วยชีวิตคนบางคน
ที่มา : mthai.com

คิดสักนิด ก่อนจะ forward mail

ที่มาจาก FWD,เค้าบอกว่า.., เนี่ยๆ ในเมล์เค้าส่งมา...
จากหลากหลายข้อความที่มาโผล่ บนเว็บไซต์อย่าง Mthai ทั้งที่มีข้อความว่า

บอกว่า เป็นเรื่องของเด็กคนนึง ให้เราช่วยกันฟอร์เวิร์ด เมล์ ไปเยอะ
ยิ่งเยอะ พ่อแม่เด็กยิ่งได้เงินเยอะ

ก่อนหน้านี้ มีใครไม่รู้ ไม่ทราบชื่อ ส่งเมล์มาให้ว่า
hotmail จะเก็บเงินค่าใช้ msn แต่ให้คุณส่งเมล์ไปหาคนอื่นๆ อีก 18 คน
จะได้รับการยกเว้น

ก่อนหน้านู๊น มีผู้ใดมิรู้ ส่งเมล์มาให้ว่า ต้องการเลือดกรุ๊ป นั้น กรุ๊ปนี้
ให้ช่วยไปบริจาคกัน



ซึ่งจริงๆแล้ว ลองมาวิเคราะห์กันนะครับ

สำหรับกรณี แรก
การฟอร์เวิร์ด เมล์เยอะ แล้ว คนนั้น คนนี้จะได้เงิน ส่วนแบ่งจากเมล์
เราลองมาคิดเล่นว่า

1.พ่อแม่เด็กจะได้เงินจากไหน
2. แล้วต่อมา เช็คยังไง
3. เมล์ล่ะ เท่าไหร่

อ่า จากสามข้อ ดูแล้วไม่น่าสงสัยแต่ คิดกันง่ายๆ การที่ผู้ให้บริการ จะต้องมานั่ง ติดตามเมล์ฉบับ นึง
ที่วิ่งผ่านไปผ่านมา บน server นั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก ที่ยากเพราะ

1. เมล์ มิได้อยู่บน server เดียว เหมือนอย่างกระทู้ แต่กลับถูกส่งไป มา เช่น hotmail ไปยาฮู เป็นต้น
การที่จะปล่อยให้ ใครก็ตามมานั่ง เขียนโปรแกรมตามเมล์ เข้าไปถึงใน server ส่วนตัวแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้
เพราะทุก server ต่างก็ต้องการจะทำระบบให้ปลอดภัยที่สุด รวมทั้ง เหตุผลสำคัญทางธุรกิจอีกด้วย

2. แม้ว่า เมล์จะอยู่หรือ ส่งแค่ในระบบของ Hotmail หรือ แค่ yahoo คุณรู้หรือไม่ว่า yahoo และ hotmail มี server หลายสิบตัวด้วยกัน ที่ไว้รองรับ ผู้ใช้งานนับล้านคน ดังนั้น การที่วิ่งจับ อีเมล์ฉบับเดียว เพื่อแจกเงิน นั้น หาก yahoo หรือ hotmail จะทำ แจกเงินไปเลย ง่ายกว่า เห็นๆ

3.นอกจากนี้ เมล์ เหล่านี้ บางที มีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ การที่จะต้องมานั่งเขียนโปรแกรมเช็ค ข้อความ ไทย - อังกฤษ ก็ยากแล้ว ยังไม่นับการเปลี่ยนเป็นภาษาอื่นๆ อีก

สรุป กรณี ที่แรก Game Over โกหก ชัดๆ

.....................................................................................................................
กรณีที่สอง
คิดอันแรกง่ายๆ ตามแบบ กรณีที่ 1 คือ การที่ hotmail จะต้องมานั่ง ตามจดหมายนั้น แม้ว่าจะอยู่ในระบบของ Hotmail เอง เป็นเรื่องที่ยาก (ใครเคยเขียนโปรแกรมในรูปแบบ Regular Expresion จะรู้ว่ายากกกก)
โปรแกรมเมอร์ จะต้องมาเขียนนับด้วยว่า อ่า มันส่งไปกี่คน ครบ 18 หรือยัง โอ้ว
มัน ยิ่งซับซ้อนไปใหญ่ แค่คิดก็จะบ้าแล้วล่ะครับ

ต่อมาคือ ที่เราเห็น มีทั้งไทย อังกฤษ เหมือนกัน ดังนั้น คงต้องเขียนโปรแกรม กันปวดหัวแน่ๆ

ประเด็นต่อมาคือ ปัจจุบัน เราจะเห็นว่า โปรแกรมสนทนา จะมีหลายค่ายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
MSN, Yahoo messenger,google talk,skype,icq,aol,qq (เอาแค่ตัวดังๆ ที่ผมเคยเล่นนะ)
ทุกตัวฟรีหมด ดังนั้น หาค่ายใดค่ายหนึ่ง เก็บเงิน แล้ว เหล่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่นิยมของฟรี จะหันไปยังคู่แข่งทันที แล้วเรื่องอะไร ล่ะ ที่ผู้ให้บริการเหล่านั้น จะยอมเสียฐานลูกค้าไป เพราะเพียงแค่ค่าโฆษณา ก็ได้เงินมหาศาลแล้ว

สรุป กรณีที่ สอง Impossible

.........................................................................................................
กรณีสุดท้าย
อันนี้ ต้องบอกก่อนว่า มิได้มีจิตใจ คับแคบ หรือ อกุศล
แต่ เคยเจอมาแล้ว ก็เลยเอามาคิดเล่นๆ ให้ดูครับผม

สมมุติว่า ผมจะต้องตายล่ะ พรุ่งนี้ ต้องใช้เลือดด่วนมากๆ ทางแรกที่ผมคิดคือ โทรหาเพื่อนๆ
พ่อ แม่ พี่น้อง อะไรก็ตามแต่ จากนั้น ถ้าจะขอตามเว็บคงจะโพสต์ขอตรงๆ ล่ะครับ
ถามว่า ทำไม ผมไม่เลือกส่งเมล์

1. การส่งเมล์ ลองคิดง่ายๆ ครับว่า ลองส่งเมล์จาก yahoo ไป hotmail แล้วจับเวลาดูครับ
อย่างน้อย 10 นาที อย่างมาก 7 วัน ดังนั้น ถ้ามันติดอยู่ตรงกลาง คือ 3 วัน ผมก็คงตายไปแล้ว
ดังนั้น ทางเลือกในการส่ง forword เมล์จึงกลายเป็นทางเลือกน้อยๆ ที่ควรไว้หลัง

2. หลายๆ ครั้งที่เราจะเห็นว่า มีฟอร์เวิร์ดมา ให้ลองอ่านเนื้อเรื่อง กับวันที่ส่งก่อนหน้านี้ ในช่วงแรกๆ
เอาว่าดูเลยว่า คนส่งคนแรก ส่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วดูวันนี้ ว่าห่างกันกี่วัน ถ้าเกิน 7 วัน อย่างที่บอก ผมคงตายไปแล้ว
ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องดูระยะเวลา ตั้งแต่ต้น-จนถึงวันที่ได้รับด้วย

เพราะบางครั้ง ผมยังเคยได้รับเมล์ในรูปแบบนี้ ซึ่งวันที่คนแรกส่ง กับวันที่ผมได้รับ มันข้ามปีกันแล้วครับ
ผู้ที่ต้องการเหล่านั้น คงจะหายดีเป็นปรกติเสียแล้วกระมังครับ

3. และมีส่วนหนึ่ง ที่ผม ได้รับ ทั้งจากข้างนอก และจากในองค์กร ซึ่งในองค์กร จะมีระบุชัดเจนว่า
ใคร เป็นอะไร ที่ไหนอย่างไร และส่งภายใน ในองค์กร เอาง่ายๆ ว่ามีที่มาที่ไปแน่นอน ค่อนข้างเชื่อถือได้
ในขณะที่จากข้างนอก บอกชื่อ ที่อยู่ (ส่วนมากเป็น รพ.) พร้อมเบอร์โทร ซึ่งเคยลองโทรไปครับ พบว่า เป็นเบอร์ที่เพื่อนเอามาแกล้งบ้าง บางครั้งชื่อโรงพยาบาลก้อไม่ใช่

ซึ่งกรณีหลังนี่ ก้ำกึ่งมาก เหมือนกันครับว่า ฉบับไหนจริง หรือไม่จริง แยกยาก แต่ก็มีเป็นส่วนใหญ่ ที่
- แกล้งกันเอง มักจะแนบเป็นเบอร์มือถือมา ดังนั้น ควรโทรเช็ค ก่อนที่จะเสียเวลาออกไป
- แกล้งคนอื่นที่ใจบุญ มักจะให้ที่อยู่ ไม่ใช้เบอร์ ส่วนใหญ่เป็น โรงพยาบาล จึงควรโทรเช็คก่อนเช่นกัน
- ทำสนุกๆ มันส์ มักจะให้ที่อยู่ และเบอร์ 02 แนะนำให้ลองตรวจสอบเบอร์ก่อนว่า ที่นั่นที่ไหน

สรุปง่ายๆ ก็คือ ตรวจสอบก่อนที่จะลงมือออกไปช่วยเหลือ หรือ ฟอร์เวิร์ดต่อ

หลายท่านอาจจะคิดว่า Forward ไปก่อนไม่เป็นไรหรอก ไม่เสียเงินนี่
แต่ท่านลองนึกสิครับว่า ถ้าสมมติว่า ผมตั้งใจออกไปช่วยเหลือจริงๆ เสียเงินเดินทาง
เสียเวลา แต่ผลคือ ผมถูกหลอก!!! แล้วครั้งต่อไปล่ะ ผมคงคิดหนัก ก่อนที่จะทำแน่ๆ
ยิ่งกลายเป็นว่า ทำให้คนที่ถูกหลอกไม่เชื่อ อีกต่อไป และกลายเป็นคนที่ไม่สนใจเลย

"เหมือนนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ" ไงครับ แล้วต่อไปเราจะพึ่งใครได้ล่ะ ถ้าเกิดเหตุการณ์จริงๆ

ก็คงต้องใช้วิจารณญาณกันสำหรับในประเด็นหลังนี่ล่ะครับ


ส่วนถ้าจะถามว่า คนทำได้อะไรจากการทำ

สำหรับในสองกรณีแรก มักจะเป็นการ สร้างความตื่นตระหนก ให้ช่วยกันระดม forward เมล์ไป
เพื่อ ให้ server ทำงานหนัก ลองคิดง่ายๆ นะครับ
จดหมาย 1 ฉบับ ใช้เนื้อที่ 15 Kb. โดยประมาณ ถ้าส่ง 100 คน ก็จะกลายเป็น 1.5 เมก
ถ้ายิ่งระดมส่งกัน เป็นแสนคน รวมทั้ง การ forward ไปนั้น จะทำให้เนื้อที่จดหมายเพิ่มขึ้นด้วย (จาก Mail Header, และ Body) ดังนั้น มันอาจจะกลายเป็น 1.5 กิ๊กได้ ภายในไม่กี่วัน ส่งผลให้ระบบเมล์ เน่าได้เร็วขึ้น เพื่อการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งของผู้คิดเมล์

ต่อมาคือ ให้สังเกต ว่า หากยิ่งมีคำว่า ห้ามforward ให้ใช้ ก๊อบข้อความ แล้วสร้างเป็นเมล์ใหม่อย่างในกรณีของ การเก็บเงิน msn หากมองผ่าน ก็คงไม่มีอะไร แต่หากเฉลียวใจซักนิดว่านั่น คือการกลบรอย ของคนส่ง คนแรก เมื่อไม่มีชื่อเค้าใน forword ก็เท่ากับเค้ามีโอกาสที่จะรอดตัว มากขึ้น ส่วนคุณ ที่อาจจะโดนคนอื่นๆ forword ไปเลยนั้น อาจจะกลายเป็นผุ้ต้องหาแทน ก็ได้นะครับ

สำหรับกรณีสุดท้าย หากเป็นการแกล้งกัน สนุกๆ แต่มันกลับส่งผลโดยรวมต่อสังคม ในอนาคต
ทำให้คนได้รับ ไม่เชื่อ ไม่ไว้ใจ กลายเป็นความระแวง และเห็นแก่ตัวในที่สุด
แล้วเราจะโทษใครดีล่ะ???
ที่มา : mthai

สร้างกำลัง...ให้ดวงใจ

ถ้าท่านทำตัวแข่งกับสังคม
ทางแห่งความล่มจมกำลังตามมา

ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า
ท่านจะพบกับปัญหาเรื่อยไป

ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้
ท่านอย่าหวังน้ำใจจากเพื่อนฝูง

ถ้าท่านกลัวจนเกินไป
ท่านจะทำอะไรไม่ได้ความ

ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม
ท่านจะพบกับความเดือดร้อน

ถ้าท่านขาดความพอดี
ท่านจะเป็นหนี้เขาตลอดกาล

ถ้าท่านหวังแต่ความสนุก
ท่านจะเป็นทุกข์มหาศาล

ถ้าท่านขาดความยั้งคิด
ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย

ถ้าท่านทำใจให้สงบ
ท่านจะพบกับความสุขที่แท้จริง
ที่มา : ญินด้า

30 วิธีให้ช่วยตัวเองมีความสุข เอ๊ะยังไงมาดู

บางครั้ง ความสุขก็ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้ามา บางครั้ง มันอาจจะจะอยู่ใกล้ๆตัวคุณก็ได้ ลองอ่านดูเผื่อคุณจะพบความสุขในไม่ช้านี้...

1. นึกไว้เสมอว่า การโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง

2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจกรับรองว่าเขาต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้ง

3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้นการเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้

4. หลับตานิ่งๆสัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน

5. ระหว่างแปรงฟันฮัมเพลงไปด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นเป็น 2 เท่า

6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลงจากรสชาติที่ธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย

7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด

8. การขึ้น-ลงบันไดสูงๆแบบไม่ให้เมื่อย คือ การไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไร

9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณหล่อมากๆทันทีที่คุณถามเขาว่า “ช่วยพาข้ามถนนไหมคับ”

10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทานไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก

11. ควรหัดพูดคำว่า ไม่เป็นไร ให้เคยปากมากกว่าจะพูดคำว่า จะเอายังไง

12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ไปสายเหมือนเมื่อก่อน <<อันนี้เอาไปใช้ได้เลยรับรองไปโรงเรียนทันไม่โดนทำโทษให้เหนื่อยตอนเช้าแน่นอน

13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง ดังนั้น เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ จึงเล่าให้มันฟังได้

14. อาหารที่จะไม่ชอบกินตอนเด็กลองตักเข้าปากอีกสักที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

15. เขียนชื่อคนที่คุณเกลียดใส่กระดาษ แล้วฉีกทิ้ง (หรือแปะไว้ใต้รองเท้าแล้วใส่รองเท้านั้นไปเดินเล่นสักพัก) ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ <<ต้องลองไปทำดูซะและ

16. ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูแทบไม่ออกเลยว่าเพิ่งร้องไห้

17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆจะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง

18. ก่อนซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมัน ทำให้ได้ 3 ข้อก่อน

19. ถึงเสื้อและกางเกง ในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆก็จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น

20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง

21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะ จนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด

22. ในวันที่รู้สึกเศร้าหรือเหงาๆเดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกก็จะดีขึ้น

23. แอบรักใครสักคน...ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร <<ซึ้งกินใจข้อนี้ T^T

24. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความจะแต่งตัว สวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่

25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆคนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน

26. ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ "ทำไมถึงจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้"

27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบ มันอาจจะไม่สนุก แต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่

28. วันที่ตื่นเช้าให้บิดขี้เกียจให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย

29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว

30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมให้คุณเพิ่มขึ้นอีกหลายบาทลองไปทำหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองดูนะครับ คงจะมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยล่ะครับพี่น้องงง
ที่มา : AssumpBoard.com

คาด(ไม่ได้ดัง)หวัง

ความคาดหวัง เป็นเรื่องของการคิดถึงว่าอนาคตจะออกมาเป็นเช่นไร หลายครั้งเราคิดมาก เป็นห่วงมากถึงอนาคตและส่วนใหญ่เป็นการคิดในทางลบ!!ถ้าจะคิดหรือคาดหวัง

ขอให้เป็นการคาดหวังแบบบวก แน่ละมันอาจจะไม่เป็นดังใจหวัง!! แต่อย่างน้อย ขณะที่เรากำลังคิดถึงมันอยู่ ณเวลานี้ ถ้าคิดเรื่องดีๆ มันก็ช่วยให้เรามีความสุขได้...ความ ทุกข์ของเรา มาจาก” ความผิดหวัง” ที่เกิดมาจาก “ ความคาดหวัง ที่ไม่สามารถเป็นจริงได้( unrealistic)” ชีวิตให้เราไม่ได้

เราคาดหวังให้สามีเราเป็นสามีที่พิเศษกว่าสามีคนอื่น เราคาดหวังให้ลูกของเราเป็นเด็กที่พิเศษ กว่าเด็กอื่น เราคาดหวังว่าชีวิตเราต้องดีกว่าคนอื่น!!!เรา กดดันคนรอบข้าง ด้วยคำว่า “ควรจะ” (should) “ลูกควรจะขยันมากกว่านี้นะ” “คุณควรจะกลับบ้านเร็วกว่านี้ ” “ฉันควรจำต้องทำได้ดีกว่านี้”ฯลฯ ความคาดหวัง กลายเป็นกดดัน ยิ่งผลักดัน

นอกจากเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ยังเป็นการเพิ่มความทุกข์ ให้ทั้งเขาและเราพุทธองค์ ตรัสว่า “สิ่งที่เราคาดหวังให้เป็น มันมักจะเป็นตรงกันข้าม ” ท่านจึงบอกว่า แทนที่เราจะคาดหวัง( expect) แต่ให้เรา มองลึกวิเคราะห์ ( inspect) ลงในปัญหา และดูว่าจริงๆ แล้วคนของเรา เป็นแบบไหน และเรามีอะไรอยู่ในมือของเราบ้างลูกเราชอบศิลปะ แต่เราให้เขาเป็นหมอ สามีเราก็เหมือนกับผู้ชายทั่วๆไป แต่เราหวังให้เขาเป็นสามีสมบูรณ์

แบบ ถ้าได้ วิเคราะห์ อย่างลึกซึ้ง( inspect ) เราจะนึกได้ว่า แทนที่เราจะ คาดหวัง(expect) เราควรจะเปลี่ยนมาเป็น นับถือ (respect) ยอมรับในความเป็นตัวตนของเขา ในแบบที่เขาเป็น!!!เมื่อไรที่คิดได้แบบนี้ ชีวิตเราจะทุกข์น้อยลง !! เพราะว่าเราอยู่กับความจริงของโลกและชีวิต

ชีวิตที่แท้จริงก็คือ “ ไม่เป็นดั่งใจ “ พุทธเจ้าบอกว่า สิ่งที่เราคาดหวังได้ ก็คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย!! เราจะต้องเจอแน่นอน!!!นอกนั้นไม่แน่!!ยอมรับในสิ่งที่เรามี เราเป็น คือหัวใจของการมีความสุขในชีวิต..ไม่ใช่การที่มี ลูก ,สามี, ตัวเอง, เจ้านาย , ญาติพี่น้อง ฯลฯที่”สมบูรณ์แบบ”


ต่อให้เราใช้เวลาทั้งชีวิต เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้แม้แต่ตัวเราเอง !!เพราะทุกคนเกิดมา ล้วนมีต้นทุน และ “กรรมเก่า” ติดตัวมา เราไม่ได้เริ่มต้นชีวิตจากศูนย์ และทุกคนมีต้นทุนไม่เท่ากัน มองดูซิ !! ทำไมบางคนเกิดมาเป็นอัจฉริยะ!! บางคนปัญญาอ่อน!! บางคนรวยล้นฟ้า!! บางคนยากจนเข็ญใจ....บางคนเกิดมา 5ขวบแต่งเพลงได้แล้ว!! คงไม่ใช่สิ่งที่เด็ก5ขวบ

จะเรียนรู้วิธีแต่งเพลงได้ภายใน5ปีแรกของชีวิตหรอกนะ แต่มันคือ” ความสามารถเก่าที่ติดตัวเขามาต่างหาก!!”ขอให้เรามีความรักต่อกัน ไม่คาดหวัง(เกินไป) และยอมรับในแบบที่เขาเป็น ในศักยภาพที่เขามี .. และไม่ว่า อนาคต สิ่งที่เราคาดหวังจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะยินดีกับมันเสมอ...เพราะนี้แหละชีวิตของการเกิดเป็นคน...”ไม่ต้องดีที่สุด” แต่”ขอแค่เป็นสุข”ก็พอแล้ว
ที่มา : *_* NONGSAWNUY *_*

8 วิธี...เคลียร์สมองใสในออฟฟิศ

บ่อยครั้งที่พอสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก หรืออารมณ์ไม่ดี เรามักจะเป็นประเภทรำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง คือเฟ้นหาสาเหตุจากปัจจัยภายนอก ก่อนที่จะตั้งคำถามเช็กสมรรถภาพกับตัวเอง แล้วความจริงก็ชอบแสดง ให้เห็นว่า หลายปัญหาคาใจ แท้จริงแล้วมีคำตอบอยู่ข้างหน้านั่นเอง แบบว่า…เป็นเส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เชียว เอาเป็นว่า ถ้าวันนี้ใครรู้สึกว่าสมองแล่นช้า สลับหยุดนิ่ง ก่อนจะหันไปแว้ดเพื่อน หรือหาทางออกจากอะไรๆ รอบตัว ลองมาเช็กและ Restart ระบบภายในร่างกายกันก่อน ด้วย 8 ทิปส์ ที่ทำได้ในออฟฟิศ เพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานสมอง : เขียนเลข 8 ในอากาศ

ด้วยมือทั้งสองข้างๆ ละ 5 ครั้ง โดยเริ่มจากด้านซ้ายของเลขก่อน แล้วเขียนวนไปให้เป็นเลข 8 วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการอ่าน การทำความเข้าใจ ดีขึ้น และทำให้สมองด้านซ้ายและด้านขวาประสานงานกัน หล่อเลี้ยงสมองด้วยน้ำเปล่า : วางขวดน้ำไว้ใกล้ๆ โต๊ะของคุณเป็นประจำ และคอยจิบทีละน้อย วิธีนี้จะช่วยให้จิตใจและร่างกายของคุณ ตื่นตัวตลอดเวลา สมองเปิดว่าง สามารถรับสารหรือข้อมูลได้ดี เพราะน้ำจะช่วยปรับสารเคมีที่สำคัญในสมองและระบบประสาท ถ้าเวลาที่รู้สึกเครียด จึงควรจิบน้ำเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบของร่างกาย นวดใบหูกระตุ้นความเข้าใจ : นั่งพักสบายๆ แตะปลายนิ้วทั้ง สองข้างที่ใบหู เคลื่อนนิ้วไปยังส่วนบนของหู จากนั้นบีบนวดและคลี่รอยพับ ของใบหูทั้งสองข้างออก ค่อยๆ

เคลื่อนนิ้วลงมานวดบริเวณอื่นๆ ของใบหู ดึงเบาๆ เมื่อถึงติ่งหู ดึงลง ให้ทำซ้ำกัน 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และทำให้ความเข้าใจดีขึ้น เพราะเป็นการคลายเส้นประสาทบริเวณใบหูที่เชื่อมสมอง บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ : ใช้มือซ้ายจับไหล่ขวา บีบกล้ามเนื้อให้แน่นพร้อมหายใจเข้า จากนั้นหายใจออกและหันไปทางซ้ายจนสามารถ มองไหล่ซ้ายของตัวเอง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ วางแขนซ้ายลงบนไหล่ขวา พร้อมกับห่อไหล่ ค่อยๆ หันศีรษะกลับไปตรงกลางและเลยไปด้านขวา จนกระทั่ง สามารถมองข้ามไหล่ของคุณได้ ยืดไหล่ทั้งสองข้างออก ก้มคางลงจรดหน้าอกพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณได้ผ่อนคลาย เปลี่ยนมาใช้มือขวาจับไหล่ซ้ายบ้าง และทำซ้ำกันข้างละ 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตรงส่วนลำคอและไหล่

การได้ยิน, การฟัง และช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานานอีกด้วย นวดจุดเชื่อมสมอง : วางมือข้างหนึ่งไว้บนสะดือ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้วางบนกระดูกหน้าอกบริเวณใต้กระดูกไหปลาร้า และค่อยๆ นวดทั้งสองตำแหน่งประมาณ 10 นาที วิธีนี้จะช่วยลดความงงหรือสับสน กระตุ้นพลังงาน และช่วยให้มีความคิดแจ่มใส บริหารขา : ยืนตรงให้เท้าชิดกัน ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง โดยยกส้นเท้าขึ้น งอเข่าขวาเล็กน้อยแล้วโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้นของคุณจะอยู่ในแนวเดียวกับ ส้นเท้าขวา สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออก ในขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนี้ ค่อยๆ

กดส้นเท้าซ้ายให้วางลงบนพื้นพร้อมกับงอเข่าขวาเพิ่มขึ้น หลังเหยียดตรง สูดลมหายใจเข้าแล้ว กลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนจากขาข้างซ้ายเป็นข้างขวา ทำแบบเดียวกันทั้งหมด 3 ครั้ง การบริหารท่านี้เหมาะสำหรับปรับปรุงสมาธิ รวมทั้งช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อน่องผ่อนคลายอีกด้วย กดจุดคลายเครียด : ใช้นิ้ว 2 นิ้ว กดลงบนหน้าผากทั้งสองด้าน ประมาณ กึ่งกลางระหว่างขนคิ้ว และตีนผม

กดค้างไว้ประมาณ 3-10 นาที วิธีนี้จะช่วยคลายความตึงเครียดและเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตเข้าสู่สมอง บริหารสมองด้วยการเขียน : เขียนเส้นขยุกขยิกด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมๆ กัน ลายเส้นที่เขียนอาจจะดูเพี้ยนๆ แต่ได้ผลดีต่อระบบสมองเป็นอย่างดีทีเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการประสานงานของสมอง ด้วยการทำให้สมองทั้งสองซีกทำงานพร้อมกัน และเพิ่มความชำนาญด้านการสะกดคำ คำนวณดี และรวดเร็วขึ้นอีกด้วย เป็นไปได้จริง ที่เส้นผมสามารถบังภูเขาทั้งลูกได้ ถ้าสายตาไม่มีสติกำกับ ดังนั้น ประตูบานแรกที่จะทอดนำไปสู่การหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ปัญหาคือสภาพจิตใจที่สมบูรณ์จากภายใน จำง่ายๆ ว่า เมื่อใดสติเกิด สมองก็บรรเจิด และแน่นอนว่าผลของงานก็จะเริดขึ้นทันใด
ที่มา : Ern Jar

29/10/52

8 วิธีดับอารมณ์ร้อน

1. นับ 1-10 ..... ไม่ใช่เรื่องตลก..ก ในยามที่คุณไม่สบอารมณ์กับคำพูดของเพื่อนบางคน แล้วแทนที่จะสวนกลับด้วยคำพูดที่เจ็บแสบพอกัน กลับปรับอารมณ์ตัวเองด้วยการนับ 1 -10 ในใจ เพื่อที่จะห้ามตัวเอง และมีเวลาพิจารณาคำพูดของเพื่อน ๆ ว่า กำลังอยู่ใน อารมณ์ที่กำลังเย้าแหย่เล่น มากกว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ป่วยการที่จะโกรธเคืองให้งานกร่อย ปล่อยให้เล่นสนุกไปสักพักเดี๋ยวก็เลิกเล่นกันเองแหล่ะ แต่ถ้ายังทนไม่ไหว ก็เพิ่มจาก 10 เป็น 20 30 จนถึง 100

2.เลี่ยงหลบๆ ไปให้พ้น ..... ถ้ารู้ว่าเป็นคนอารมณ์ร้อน และมักจะใช้กำลังทำลายข้าวของ หรือแม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า วิธีการเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นเป็นการดีที่สุด สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวออกไปจากจุดนั้น จนกว่าจะสามารถระงับอารมณ์ตัวเองได้ จึงหันหน้ากลับมายังทิศทางเดิมเพื่อสะสางปัญหา

3. ตังใจฟัง.....ระหว่างการอภิปรายหรือโต้เถียงอย่างรุนแรง และคุณก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกพาดพิง และวิจารณ์อย่างดุเดือด การโต้ตอบทันทีทันใดแบบเลือดขึ้นหน้า เป็นการเปล่าประโยชน์และแสดงวุฒิภาวะทางอารมณ์อย่างไม่ควจจะเป็น การตั้งใจฟังจะทำให้คุณใคร่ครวญ ถึงคำพูดที่ถูดพาดพิงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะคนที่พูดนั้นมีโอกาสที่จะพลาดได้มากกว่าคนที่ไม่พูดอะไรเลย

4.หมั่นฝึกสมาธิ.....สมาธิเป็นการฝึกจิตชั้นดีที่สุดที่สามารถทำให้คนอารมณ์ร้อนกลายเป็นคนอารมณ์เย็น สุขุมนุ่มลึก สมองปลอดโปร่ง แล้วบรรดาเรื่องต่าง ๆ ก็จะไม่สามารถกวนคุณให้อารมณ์ปะทุขึ้นได้โดยง่าย

5.ฝึกอ่านหนังสือตั้งแต่ต้นจนจบ.....เปิดหนังสือหน้าแรกก็ต้องรีบวาง ไม่ใช่ว่าหนังสือหน้าเบื่อ แต่เป็นเพราะคุณไม่อาจทนต่อการอ่านหนังสือจนจบได้ ดังนั้นการฝึกอ่านหนังสือตั้งแต่หน้าแรกไปถึงหน้าสุดท้าย นอกจากจะได้ความคิดดี ๆ แล้ว ยังลดความพลุ่งพล่านทางอารมณ์ของคุณได้อีกด้วย

6.คิดหาเหตุผล.....หลักการทางวิทยาศาสตร์ยังใช้ได้ดีกับคนอารมณ์ร้อนอีกด้วย จงใช้วิจารณญาณ ในการคิดและตัดสินใจ จะพบว่าที่เคยร้อนจะผ่อนคลายลงเป็นเย็นเยียบ และเฉียบขาดในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ

7.ฝึกขอโทษ..... คำว่าขอโทษสามารถระงับอารมณ์ร้อนของคุณเองได้ แล้วยังสามารถระงับอารมณ์เดือด ๆ ของคนอื่นได้ด้วย การเริ่มตันในบางสถาณการณ์ด้วยคำว่าขอโทษ องศาเดือดที่ทำท่าว่าจะคุกรุ่นย่อมลดลงด้วยเช่นกัน

8.ยิ้มเข้าไว้ ..... คุณเคยยิ้มแบบเสแสร้งไหม ? ยิ้มแบบที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ยิ้มแก้เขิน ยิ้มทั้ง ๆ ที่ไม่อยากยิ้ม แต่เมื่อยิ้มออกไปแล้วจะไม่มีภัยมาถึงตัว เพราะรอยยิ้มคือมิตรภาพ คือความอบอุ่น คือไมตรีจิตที่ส่งถึงกันได้ การยิ้มบ่อย ๆ จะสามารถระงับอารมณ์ร้อน ๆ ของคุณได้อย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์

เรียนรู้วิธีโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์โดยไม่ก่อศัตรู มีสติในการระงับอารมณ์โกรธและมีกลเม็ดในการแก้ไขความขุ่นเคือง

เมื่อไหร่ควรพูดจาตกลงกัน

หากมีเรื่องถกเถียงกับเพื่อนร่วมงานจนความโกรธแล่นฉิว อย่าเพิ่งระเบิดความโกรธ คุณควรหายใจเข้าลึกๆ และตั้งสติถามตัวเองให้ดีว่า เกิดอะไรขึ้น ฉันโกรธอะไร ฉันคาดหวังอะไรจากเพื่อนร่วมงาน หากความคิดของคุณชัดเจน คุณก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ มิเช่นนั้นจะก่อเกิดความตึงเครียดระหว่างคุณและผู้ร่วมงานจนบานปลายและยากที่จะคืนดีกันได้ โดยเฉพาะผู้หญิงมักใช้เวลานานกว่าจะกล้าเข้าไปคืนดีกับคนที่ทะเลาะกันและมักคิดว่า กาลเวลาอาจทำให้ดีขึ้นเองก็ได้ซึ่งมันอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด

คุยโทรศัพท์เสียงดัง

เพื่อนร่วมงานข้างๆ คุณมักพูดคุยโทรศัพท์เสียงดังจนคุณขาดสมาธิในการทำงาน และการที่จะเข้าไปพูดตรงๆ ย่อมไม่ดีแน่ ดังนั้น คุณควรบอกเขาในทำนองที่ว่า เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่คุณชอบมาก และถามต่อว่ามีเวลาคุยกันสักครู่มั้ย หรือหากคุณไม่รู้จะพูดอย่างไรก็ให้เตรียมตัวล่วงหน้าหรือเขียนบอก เช่น "ฉันทำงานไม่ค่อยได้เวลามีคนคุยโทรศัพท์เสียงดังใกล้ๆ ขอให้เบาสักนิดได้มั้ยคะ" การพูดอย่างนี้ย่อมดีกว่าการพูดว่า "คุณพูดโทรศัพท์เสียงดังยังกับฟ้าผ่าจนฉันทำงานไม่ได้"

โดนทีมงานโจมตีในที่ประชุม

สถานการณ์ที่จะทำให้คุณเครียดจัดก็คือ การโดนจิกตีจากทีมงานกลางที่ประชุม ในกรณีนี้คุณไม่ควรร่วมทะเลาะไปกับทีมงานด้วย คุณควรพยายามทำให้สถานการณ์อ่อนเบาลง อย่างเช่น "มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเราจะปรึกษากันโดยไม่กระทบคนอื่น" เป็นการพูดเพื่อสื่อให้รู้ว่า คุณไม่ได้ยอมให้ใครมาโจมตีคุณได้ง่ายๆ และในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าคุณไม่อยากต่อสู้ หากผู้ร่วมงานยังโจมตีคุณอีกล่ะก็ คุณควรคิดเตรียมการพูดจาเคลียร์ปัญหากันโดยสันติวิธี เช่น ถามผู้ร่วมงานว่า เขารู้สึกอย่างไรกับคุณ และรับฟังในสิ่งที่เขาพูดและให้ความเชื่อใจเขาถ้าเขามีความเห็นแตกต่างออกไป อย่างน้อยที่สุดคุณก็ค้นพบการแก้ปัญหาได้บ้างแล้วว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดเรื่องทะเลาะกันอีกในที่ประชุมครั้งต่อไป

ถูกวิจารณ์วิธีการทำงาน

หากเจ้านายวิจารณ์วิธีการทำงานของคุณก็อย่าแสดงอาการโกรธ คุณควรคิดตรึกตรองให้ดีว่าเป็นจริงอย่างที่บอสของคุณว่ามั้ย และให้ถามบอสของคุณว่า เขามีข้อแนะนำอย่างไรให้คุณบ้าง และคุณยินดีน้อมรับคำวิจารณ์และจะพยายามปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น หากคุณคิดว่างานที่คุณทำไม่เหมาะกับคุณและคุณคงทำตามที่บอสแนะนำไม่ได้ก็ควรเริ่มมองหางานใหม่ได้แล้ว

ทำงานช้าเกินไป

บอสของคุณตำหนิคุณบ่อยว่าคุณทำงานไม่คล่องแคล่วว่องไว แล้วบอสก็ให้งานคุณกองเบ้อเร่อและบอกว่า "ผมขอร้องให้คุณทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จโดยเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้" การทำงานให้รวดเร็วนั้นก็ต้องดูความสำคัญของงานด้วยว่า งานใดควรรีบเร่งทำก่อนและงานใดที่รอได้ทีหลัง คุณควรพิจารณาไตร่ตรองให้ดีก็จะช่วยทำให้คุณทำงานได้เร็วขึ้น เช่น การวางแผนการประชุมต้องรีบทำก่อนการจัดทำโฆษณาหรือไม่ หรือหากคุณไม่แน่ใจ ตัดสินใจไม่ได้ก็ควรปรึกษาบอสของคุณว่า งานใดที่เขาต้องการด่วนและงานใดที่ล่าช้าได้เพื่อให้การทำงานชัดเจนขึ้น และเป็นการสลายความเข้าใจผิดได้ซึ่งจะช่วยให้คุณและบอสเข้าใจซึ่งกันและกัน

ทะเลาะกับผู้ร่วมงานแล้วต้องปะหน้ากัน

หากคุณทะเลาะกับผู้ร่วมงานหน้าดำหน้าแดงจนแทบมองหน้ากันไม่ติด แต่ตราบใดที่คุณและผู้ร่วมงานยังต้องทำงานอยู่ในที่เดียวกันก็ยากนักที่จะไม่เจอะเจอกันอีก แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือ คุณควรพูดจากับเขาอีกเพราะบางทีคุณและเขาอาจค้นพบว่าทำไมความสัมพันธ์ของคุณทั้งคู่จึงยังมึนตึงต่อกัน หรืออาจเป็นเพราะว่าเขาเห็นคุณเป็นคู่แข่งหรือเปล่า หรือคุณพูดจากระทบเขาโดยไม่ตั้งใจโดยที่คุณจำไม่ได้แล้ว หากไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งคุณก็ต้องยอมรับว่า คุณสองคนไม่ถูกชะตากัน โดยยึดคติว่า คนเราไม่อาจรักคนทุกคนได้ แต่คนเราควรเข้ากับคนอื่นได้ดี

"ยิ่งแบ่งปัน ยิ่งเติบโต"

ครั้งหนึ่งในอเมริกากลาง ทุกๆปีจะมีการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด

หลังจากการประกวดชายผู้ที่ชนะเลิศที่หนึ่งเขาทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ ทันที่ที่เขาชนะเขาได้นำเมล็ดพันธ์ที่เพิ่งชนะการประกวดแจกให้กับผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันและกล่าวว่า " เอาเมล็ดพันธ์นี้ไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่ "

ในปีต่อมา เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพดอีก เหมือนปีที่ผ่านมา เขาเดินแจกเมล็ดพันธ์ที่เขาเพิ่งชนะให้กับคนอื่นๆ แล้วบอกว่า " เอาไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่ " ชายผู้นี้ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพดติดต่อกันหกครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธ์ที่ชนะให้ผู้แข่งขันคนอื่นๆทุกปี

จนมีนักข่าวถามเขาว่า "ไม่เป็นการง่ายกว่าหรือ ถ้าเขาเก็บเมล็ดพันธ์ที่ดีโดยไม่แบ่งคนอื่น เขาก็จะได้ชนะง่ายๆทุกปี " เขาตอบว่า " แสดงว่าคุณไม่เข้าใจในการปลูกพืช คุณเคยได้ยินคำว่า การกลายพันธ์ไหม ถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธ์ที่ดี บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธ์ที่แย่ๆ วันหนึ่ง ลมก็จะพัดเอาเกสรของเมล็ดพันธ์ที่แย่ๆมาตกในไร่ของผม ทำให้เมล็ดพันธ์ผมแย่ไปด้วย มันไม่เป็นการดีหรอกหรือ ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธ์ดีแล้วถึงตอนนั้นมาแข่งกันว่า ใครขยัน รดนำพรวนดินดีกว่ากัน " มีคำกล่าวว่า "ถ้าคุณมีเมล็ดพันธ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึ่งเมล็ดพันธ์แห่งความคิดนั้น ก็จะตายไปพร้อมคุณ "

เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้ ยิ่งให้ออกไป เรายิ่งได้รับกลับมาและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อมๆกับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม

บทความ "ยิ่งแบ่งปัน ยิ่งเติบโต" ที่เป็นภาษาอังกฤษ

ที่มา : www.101idea.com

เรื่องเล่าจากหญิงชรา เรื่องดีๆที่น่าอ่าน

วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นอาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อนผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ หนึ่ง เอื้อมมาจับบ่าของผมผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่น ที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผมรอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง

หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า"สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ"
ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า"แน่นอน ได้สิครับ " แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า"ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัย เอาตอนที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอย่างนี้ละ.. "

เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า "ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย แล้วมีลูกสักสองสามคน..."ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า "ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ " ผมสงสัยจริงๆ ว่า อะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า"ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้ ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน"หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันทีตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกัน และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง "ยานเวลา" ลำนี้แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ของเธอให้กับผม

ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆและดื่มด่ำอยู่กับความสนใจ ที่นักศึกษาคนอื่นๆ มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเราผมไม่เคยลืมเลยว่า เธอได้สอนอะไรให้กับเรา ... พิธีกรแนะนำตัวเธอ และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น

ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้นเธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น เธอทั้งอาย ทั้งประหม่าแต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า"ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้วแต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ... ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน"


พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า
"พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่นที่จริงแล้วมีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอมีความสุขและประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ

1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน

2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสีย ความฝันของคุณไป คุณจะตาย มีคนมากมายที่ยังเดินไป เดินมาอยู่ทั้งๆที่ตายไปแล้วและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว.
.
3) การที่คุณ "แก่ขึ้น" กับ "เติบโตขึ้น" นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆปีหนึ่งและไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุแปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้น ทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลยประเด็นของการ เติบโตขึ้น นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ

คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งที่ต้องเสียใจค้างอยู่ "

เธอจบการพูดของ เธอด้วยการร้องเพลง "The Rose" อย่างกล้าหาญและเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมา ใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว

หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบเธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอ เพื่อแสดงความเคารพ ต่อหญิงชราผู้วิเศษ
ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า .......ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้

เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง กรุณาส่ง คำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ พวกเขาคงจะชอบมัน

เรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส
จงจำไว้ว่า

"การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป"

ที่มา : http://www.thaihomemaster.com