29/10/52

8 วิธีดับอารมณ์ร้อน

1. นับ 1-10 ..... ไม่ใช่เรื่องตลก..ก ในยามที่คุณไม่สบอารมณ์กับคำพูดของเพื่อนบางคน แล้วแทนที่จะสวนกลับด้วยคำพูดที่เจ็บแสบพอกัน กลับปรับอารมณ์ตัวเองด้วยการนับ 1 -10 ในใจ เพื่อที่จะห้ามตัวเอง และมีเวลาพิจารณาคำพูดของเพื่อน ๆ ว่า กำลังอยู่ใน อารมณ์ที่กำลังเย้าแหย่เล่น มากกว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ป่วยการที่จะโกรธเคืองให้งานกร่อย ปล่อยให้เล่นสนุกไปสักพักเดี๋ยวก็เลิกเล่นกันเองแหล่ะ แต่ถ้ายังทนไม่ไหว ก็เพิ่มจาก 10 เป็น 20 30 จนถึง 100

2.เลี่ยงหลบๆ ไปให้พ้น ..... ถ้ารู้ว่าเป็นคนอารมณ์ร้อน และมักจะใช้กำลังทำลายข้าวของ หรือแม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า วิธีการเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นเป็นการดีที่สุด สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวออกไปจากจุดนั้น จนกว่าจะสามารถระงับอารมณ์ตัวเองได้ จึงหันหน้ากลับมายังทิศทางเดิมเพื่อสะสางปัญหา

3. ตังใจฟัง.....ระหว่างการอภิปรายหรือโต้เถียงอย่างรุนแรง และคุณก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกพาดพิง และวิจารณ์อย่างดุเดือด การโต้ตอบทันทีทันใดแบบเลือดขึ้นหน้า เป็นการเปล่าประโยชน์และแสดงวุฒิภาวะทางอารมณ์อย่างไม่ควจจะเป็น การตั้งใจฟังจะทำให้คุณใคร่ครวญ ถึงคำพูดที่ถูดพาดพิงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะคนที่พูดนั้นมีโอกาสที่จะพลาดได้มากกว่าคนที่ไม่พูดอะไรเลย

4.หมั่นฝึกสมาธิ.....สมาธิเป็นการฝึกจิตชั้นดีที่สุดที่สามารถทำให้คนอารมณ์ร้อนกลายเป็นคนอารมณ์เย็น สุขุมนุ่มลึก สมองปลอดโปร่ง แล้วบรรดาเรื่องต่าง ๆ ก็จะไม่สามารถกวนคุณให้อารมณ์ปะทุขึ้นได้โดยง่าย

5.ฝึกอ่านหนังสือตั้งแต่ต้นจนจบ.....เปิดหนังสือหน้าแรกก็ต้องรีบวาง ไม่ใช่ว่าหนังสือหน้าเบื่อ แต่เป็นเพราะคุณไม่อาจทนต่อการอ่านหนังสือจนจบได้ ดังนั้นการฝึกอ่านหนังสือตั้งแต่หน้าแรกไปถึงหน้าสุดท้าย นอกจากจะได้ความคิดดี ๆ แล้ว ยังลดความพลุ่งพล่านทางอารมณ์ของคุณได้อีกด้วย

6.คิดหาเหตุผล.....หลักการทางวิทยาศาสตร์ยังใช้ได้ดีกับคนอารมณ์ร้อนอีกด้วย จงใช้วิจารณญาณ ในการคิดและตัดสินใจ จะพบว่าที่เคยร้อนจะผ่อนคลายลงเป็นเย็นเยียบ และเฉียบขาดในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ

7.ฝึกขอโทษ..... คำว่าขอโทษสามารถระงับอารมณ์ร้อนของคุณเองได้ แล้วยังสามารถระงับอารมณ์เดือด ๆ ของคนอื่นได้ด้วย การเริ่มตันในบางสถาณการณ์ด้วยคำว่าขอโทษ องศาเดือดที่ทำท่าว่าจะคุกรุ่นย่อมลดลงด้วยเช่นกัน

8.ยิ้มเข้าไว้ ..... คุณเคยยิ้มแบบเสแสร้งไหม ? ยิ้มแบบที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ยิ้มแก้เขิน ยิ้มทั้ง ๆ ที่ไม่อยากยิ้ม แต่เมื่อยิ้มออกไปแล้วจะไม่มีภัยมาถึงตัว เพราะรอยยิ้มคือมิตรภาพ คือความอบอุ่น คือไมตรีจิตที่ส่งถึงกันได้ การยิ้มบ่อย ๆ จะสามารถระงับอารมณ์ร้อน ๆ ของคุณได้อย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์

เรียนรู้วิธีโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์โดยไม่ก่อศัตรู มีสติในการระงับอารมณ์โกรธและมีกลเม็ดในการแก้ไขความขุ่นเคือง

เมื่อไหร่ควรพูดจาตกลงกัน

หากมีเรื่องถกเถียงกับเพื่อนร่วมงานจนความโกรธแล่นฉิว อย่าเพิ่งระเบิดความโกรธ คุณควรหายใจเข้าลึกๆ และตั้งสติถามตัวเองให้ดีว่า เกิดอะไรขึ้น ฉันโกรธอะไร ฉันคาดหวังอะไรจากเพื่อนร่วมงาน หากความคิดของคุณชัดเจน คุณก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ มิเช่นนั้นจะก่อเกิดความตึงเครียดระหว่างคุณและผู้ร่วมงานจนบานปลายและยากที่จะคืนดีกันได้ โดยเฉพาะผู้หญิงมักใช้เวลานานกว่าจะกล้าเข้าไปคืนดีกับคนที่ทะเลาะกันและมักคิดว่า กาลเวลาอาจทำให้ดีขึ้นเองก็ได้ซึ่งมันอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด

คุยโทรศัพท์เสียงดัง

เพื่อนร่วมงานข้างๆ คุณมักพูดคุยโทรศัพท์เสียงดังจนคุณขาดสมาธิในการทำงาน และการที่จะเข้าไปพูดตรงๆ ย่อมไม่ดีแน่ ดังนั้น คุณควรบอกเขาในทำนองที่ว่า เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่คุณชอบมาก และถามต่อว่ามีเวลาคุยกันสักครู่มั้ย หรือหากคุณไม่รู้จะพูดอย่างไรก็ให้เตรียมตัวล่วงหน้าหรือเขียนบอก เช่น "ฉันทำงานไม่ค่อยได้เวลามีคนคุยโทรศัพท์เสียงดังใกล้ๆ ขอให้เบาสักนิดได้มั้ยคะ" การพูดอย่างนี้ย่อมดีกว่าการพูดว่า "คุณพูดโทรศัพท์เสียงดังยังกับฟ้าผ่าจนฉันทำงานไม่ได้"

โดนทีมงานโจมตีในที่ประชุม

สถานการณ์ที่จะทำให้คุณเครียดจัดก็คือ การโดนจิกตีจากทีมงานกลางที่ประชุม ในกรณีนี้คุณไม่ควรร่วมทะเลาะไปกับทีมงานด้วย คุณควรพยายามทำให้สถานการณ์อ่อนเบาลง อย่างเช่น "มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเราจะปรึกษากันโดยไม่กระทบคนอื่น" เป็นการพูดเพื่อสื่อให้รู้ว่า คุณไม่ได้ยอมให้ใครมาโจมตีคุณได้ง่ายๆ และในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าคุณไม่อยากต่อสู้ หากผู้ร่วมงานยังโจมตีคุณอีกล่ะก็ คุณควรคิดเตรียมการพูดจาเคลียร์ปัญหากันโดยสันติวิธี เช่น ถามผู้ร่วมงานว่า เขารู้สึกอย่างไรกับคุณ และรับฟังในสิ่งที่เขาพูดและให้ความเชื่อใจเขาถ้าเขามีความเห็นแตกต่างออกไป อย่างน้อยที่สุดคุณก็ค้นพบการแก้ปัญหาได้บ้างแล้วว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดเรื่องทะเลาะกันอีกในที่ประชุมครั้งต่อไป

ถูกวิจารณ์วิธีการทำงาน

หากเจ้านายวิจารณ์วิธีการทำงานของคุณก็อย่าแสดงอาการโกรธ คุณควรคิดตรึกตรองให้ดีว่าเป็นจริงอย่างที่บอสของคุณว่ามั้ย และให้ถามบอสของคุณว่า เขามีข้อแนะนำอย่างไรให้คุณบ้าง และคุณยินดีน้อมรับคำวิจารณ์และจะพยายามปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น หากคุณคิดว่างานที่คุณทำไม่เหมาะกับคุณและคุณคงทำตามที่บอสแนะนำไม่ได้ก็ควรเริ่มมองหางานใหม่ได้แล้ว

ทำงานช้าเกินไป

บอสของคุณตำหนิคุณบ่อยว่าคุณทำงานไม่คล่องแคล่วว่องไว แล้วบอสก็ให้งานคุณกองเบ้อเร่อและบอกว่า "ผมขอร้องให้คุณทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จโดยเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้" การทำงานให้รวดเร็วนั้นก็ต้องดูความสำคัญของงานด้วยว่า งานใดควรรีบเร่งทำก่อนและงานใดที่รอได้ทีหลัง คุณควรพิจารณาไตร่ตรองให้ดีก็จะช่วยทำให้คุณทำงานได้เร็วขึ้น เช่น การวางแผนการประชุมต้องรีบทำก่อนการจัดทำโฆษณาหรือไม่ หรือหากคุณไม่แน่ใจ ตัดสินใจไม่ได้ก็ควรปรึกษาบอสของคุณว่า งานใดที่เขาต้องการด่วนและงานใดที่ล่าช้าได้เพื่อให้การทำงานชัดเจนขึ้น และเป็นการสลายความเข้าใจผิดได้ซึ่งจะช่วยให้คุณและบอสเข้าใจซึ่งกันและกัน

ทะเลาะกับผู้ร่วมงานแล้วต้องปะหน้ากัน

หากคุณทะเลาะกับผู้ร่วมงานหน้าดำหน้าแดงจนแทบมองหน้ากันไม่ติด แต่ตราบใดที่คุณและผู้ร่วมงานยังต้องทำงานอยู่ในที่เดียวกันก็ยากนักที่จะไม่เจอะเจอกันอีก แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือ คุณควรพูดจากับเขาอีกเพราะบางทีคุณและเขาอาจค้นพบว่าทำไมความสัมพันธ์ของคุณทั้งคู่จึงยังมึนตึงต่อกัน หรืออาจเป็นเพราะว่าเขาเห็นคุณเป็นคู่แข่งหรือเปล่า หรือคุณพูดจากระทบเขาโดยไม่ตั้งใจโดยที่คุณจำไม่ได้แล้ว หากไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งคุณก็ต้องยอมรับว่า คุณสองคนไม่ถูกชะตากัน โดยยึดคติว่า คนเราไม่อาจรักคนทุกคนได้ แต่คนเราควรเข้ากับคนอื่นได้ดี

"ยิ่งแบ่งปัน ยิ่งเติบโต"

ครั้งหนึ่งในอเมริกากลาง ทุกๆปีจะมีการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด

หลังจากการประกวดชายผู้ที่ชนะเลิศที่หนึ่งเขาทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ ทันที่ที่เขาชนะเขาได้นำเมล็ดพันธ์ที่เพิ่งชนะการประกวดแจกให้กับผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันและกล่าวว่า " เอาเมล็ดพันธ์นี้ไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่ "

ในปีต่อมา เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพดอีก เหมือนปีที่ผ่านมา เขาเดินแจกเมล็ดพันธ์ที่เขาเพิ่งชนะให้กับคนอื่นๆ แล้วบอกว่า " เอาไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่ " ชายผู้นี้ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพดติดต่อกันหกครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธ์ที่ชนะให้ผู้แข่งขันคนอื่นๆทุกปี

จนมีนักข่าวถามเขาว่า "ไม่เป็นการง่ายกว่าหรือ ถ้าเขาเก็บเมล็ดพันธ์ที่ดีโดยไม่แบ่งคนอื่น เขาก็จะได้ชนะง่ายๆทุกปี " เขาตอบว่า " แสดงว่าคุณไม่เข้าใจในการปลูกพืช คุณเคยได้ยินคำว่า การกลายพันธ์ไหม ถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธ์ที่ดี บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธ์ที่แย่ๆ วันหนึ่ง ลมก็จะพัดเอาเกสรของเมล็ดพันธ์ที่แย่ๆมาตกในไร่ของผม ทำให้เมล็ดพันธ์ผมแย่ไปด้วย มันไม่เป็นการดีหรอกหรือ ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธ์ดีแล้วถึงตอนนั้นมาแข่งกันว่า ใครขยัน รดนำพรวนดินดีกว่ากัน " มีคำกล่าวว่า "ถ้าคุณมีเมล็ดพันธ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึ่งเมล็ดพันธ์แห่งความคิดนั้น ก็จะตายไปพร้อมคุณ "

เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้ ยิ่งให้ออกไป เรายิ่งได้รับกลับมาและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อมๆกับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม

บทความ "ยิ่งแบ่งปัน ยิ่งเติบโต" ที่เป็นภาษาอังกฤษ

ที่มา : www.101idea.com

เรื่องเล่าจากหญิงชรา เรื่องดีๆที่น่าอ่าน

วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นอาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อนผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ หนึ่ง เอื้อมมาจับบ่าของผมผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่น ที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผมรอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง

หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า"สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ"
ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า"แน่นอน ได้สิครับ " แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า"ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัย เอาตอนที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอย่างนี้ละ.. "

เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า "ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย แล้วมีลูกสักสองสามคน..."ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า "ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ " ผมสงสัยจริงๆ ว่า อะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า"ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้ ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน"หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันทีตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกัน และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง "ยานเวลา" ลำนี้แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ของเธอให้กับผม

ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆและดื่มด่ำอยู่กับความสนใจ ที่นักศึกษาคนอื่นๆ มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเราผมไม่เคยลืมเลยว่า เธอได้สอนอะไรให้กับเรา ... พิธีกรแนะนำตัวเธอ และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น

ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้นเธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น เธอทั้งอาย ทั้งประหม่าแต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า"ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้วแต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ... ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน"


พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า
"พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่นที่จริงแล้วมีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอมีความสุขและประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ

1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน

2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสีย ความฝันของคุณไป คุณจะตาย มีคนมากมายที่ยังเดินไป เดินมาอยู่ทั้งๆที่ตายไปแล้วและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว.
.
3) การที่คุณ "แก่ขึ้น" กับ "เติบโตขึ้น" นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆปีหนึ่งและไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุแปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้น ทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลยประเด็นของการ เติบโตขึ้น นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ

คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งที่ต้องเสียใจค้างอยู่ "

เธอจบการพูดของ เธอด้วยการร้องเพลง "The Rose" อย่างกล้าหาญและเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมา ใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว

หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบเธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอ เพื่อแสดงความเคารพ ต่อหญิงชราผู้วิเศษ
ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า .......ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้

เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง กรุณาส่ง คำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ พวกเขาคงจะชอบมัน

เรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส
จงจำไว้ว่า

"การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป"

ที่มา : http://www.thaihomemaster.com

24/10/52

กรุ๊ปเลือด กับอาหารต้องห้าม

คราวนี้มาดูกันดีว่า กรุ๊ปเลือดอะไรควรและไม่ควรรับประทานอะไรบ้าง

กรุ๊ป O

ถือว่า เป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกของโลกที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยโปรตีนได้ง่าย

แต่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานไม่ดีนัก ดังนั้น อาหารที่เลือกรับประทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันมาก โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้น การรับประทานเพื่อบำรุงจึงขาดกันไม่ได้

ควรเลือกรับประทาน ผักใบเขียวเพื่อได้รับวิตามินเค จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น นอกจากผักใบเขียวแล้ว คนกรุ๊ปเลือดนี้ ควรรับประทาน มะเขือเทศ แครอท และน้ำผลไม้รวม เพื่อเพิ่มเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา และควรออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก เช่น การแอโรบิค ว่ายน้ำ จะทำให้ช่วยคุมน้ำหนักให้คงที่ได้เป็นอย่างดี

กรุ๊ป A

กลุ่มเลือดนี้เกิดขึ้นในช่วงหมดยุคสมัยแห่งการล่าสัตว์ มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งและรู้จักการเพราะปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้จึงเหมาะกับอาหารประเภทข้าว แป้ง และผัก ผลไม้เป็นที่สุด

ข้อควรจำ คือคนเลือดกรุ๊ป A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่นๆ ควรลดหรือละเว้น นม เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A เอง และเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารไนไตรท์มาก อาหารที่ควรเลือกรับประทานได้แก่ อาหารทะเล ผักต่างๆและธัญพืช เช่น ซีเรียลโฮลวีท ที่มีใยอาหาร ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร วิตามินบี เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาท และเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง
ข้อควรระวังสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้ คือความเครียด การออกกำลังกาย ที่ใช้พลังงานมาก กลับยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงควรฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ตีกอลฟ์ หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลตามธรรมชาติ

กรุ๊ป B

พวกที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ป B ถือว่าเป็นเลือดที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มทำการเกษตรเป็นแล้ว ก็เริ่มนำสัตว์มาเลี้ยงและรับประทานเนื้อ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงรับประทานได้หลากหลาย ทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนอยู่ตรงที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ดังนั้ นจึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง นมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A

ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แอโรบิค ว่ายน้ำ กอล์ฟ หรือแม้แต่โยคะ

กรุ๊ป AB

มาถึงเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เรา พบว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 1,000 กว่านี้เอง จะมี 2 ลักษณะในตัว คือเป็นได้ทั้ง แบบกรุ๊ป A และกรุ๊ป B จึงสามารถรับประทานได้ทั้ง 2 กรุ๊ปเลือดตามใจชอบ

แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เนื่องจากน้ำย่อยมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ไม่ค่อยดีนัก มักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก ในท้องส่วนล่าง หรือลำไส้ใหญ่ อาจสังเกตได้ง่ายๆ ถ้ามีอาการผิดปกติ คือ จะเรอบ่อย

อาหารที่ควรรับประทาน เช่น อาหารทะเล ผักสด เต้าหู้ ผลไม้จำพวกส้มโอ องุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโยเกิร์ต เนื่องจากจะช่วยในการย่อย กระเพราะอาหารไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป และควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อขับไล่ของเสียในร่างกายที่มีมากกว่าคนกรุ๊ปอื่น ซึ่งเป็นเพราะความซับซ้อนทางด้านชีวเคมี ส่วนการออกกำลังกาย เลือกที่ทำให้จิตใจสงบมีสมาธิ อย่างเช่น โยคะ ยิงธนู เป็นต้น

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมพิจารณาก่อนส่งอาหารจานอร่อยเข้าปาก และดำเนินชีวิตให้เกิดสมดุลตามธรรมชาติ เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรัง บางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่ ...

วันนี้คุณกินข้าวเช้าหรือยัง ขอบอกว่าสำคัญมาก

หมอที่โรงพยาบาลฯอบรมว่าทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา (ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม) ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า

โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ (oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา(ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ) นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อเวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก

การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้างสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู

เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุย ไม่เป็นรูปทรงกลม เหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า

1.ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20 นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)

2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ

3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์

4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข หมายเหตุ : สรุปบางส่วนจากการฟังสัมมนา ณ ร.พ.บำรุงราษฎร์ โดยน.พ.พันธุ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์

เมนูห้ามรับประทานขณะท้องว่าง

ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ค่ะ ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้างนมและนมถั่วเหลืองแม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่เหล้าหากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร

ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้น้ำตาลหรืออาหารหวานไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตชาที่แก่เกินไปชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง

ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลงและเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบลูกพลับไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว

จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหารกล้วยเพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่งกระเทียมเพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น

เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรงผักการรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกตินอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี

10 เคล็ดลับการออมเงินสู้วิกฤต..(ฉบับไม่หวงลิขสิทธิ์ครับ)

1. ให้หัก 10 %ของรายรับเก็บเอาไว้เป็นเงินออม เป็นการสร้างวินัยการออมขั้นพื้นฐาน โดยแทนที่จะใช้สูตรเก่าคือ รายได้ – รายจ่าย = เงินออม ให้เปลี่ยนเป็น รายได้ - เงินออม = รายจ่าย หมายถึงว่าทุกเดือนหรือทุกครั้งที่มีรายได้เข้ามา ต้องหักไว้อย่างน้อย 10 % เป็นเงินออมอย่างประจำและสม่ำเสมอเอาไว้ก่อน ที่เหลือจึงนำมาใช้จ่ายได้ นี่เป็นเสมือนบันไดขั้นต้นในการสร้างวินัยทางการเงินของตัวเอง

2. เงินเดือนเพิ่มแต่ไม่ใช้เงินเพิ่ม หลายคนบอกว่าข้อนี้ทำยากมาก เป็นเรื่องผืนธรรมชาติของคนเอามากๆเลย ก็เพราะยิ่งมีรายได้มากขึ้น ก็อยากใช้ของดี กินของแพง ซื้อเสื้อผ้าดีๆ อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเป็นธรรมดา แต่ก็มีไม่น้อยที่ดันใช้เงินเพลินเกินตัวจนเป็นหนี้เป็นสิน เคล็ดลับข้อนี้แม้จะดูฝืนไปบ้าง ก็ลองพบกันครึ่งทางก็คือ ใช้เงินเพิ่มก็ได้แต่ต้องให้น้อยกว่าหรือไม่เกินครึ่งหนึ่งของรายได้ที่เพิ่ม ถ้าทำได้รับรองมีเงินออมแน่นอนครับ

3. เงินได้มาเท่าไหร่ อย่ารีบใช้ ให้เก็บทั้งหมดไว้ก่อน(เงินโบนัส) เงินพิเศษ ในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินโบนัสที่มักเป็นเงินก้อนใหญ่และอาจถูกจัดเป็นเงินร้อนรีบใช้ มาไวไปไว นอกจากนี้บางคนถึงขนาดพอรู้ว่าจะได้เงินเท่านั้นเท่านี้ ก็ไปก่อหนี้รอเอาไว้ก่อนเลย เงินออกมาเมื่อไหร่จึงเอามาโปะคืน บางรายหนักกว่านี้ โดยไปเป็นหนี้มากกว่าโบนัสอีก คือนอกจากจะไม่เหลือเงินออมแล้ว ยังเป็นหนี้เพิ่มอีกด้วย

4. ทำบัญชีรับจ่ายรายวัน อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นวิธีเฉพาะสำหรับคนขี้ตืดเท่านั้นนะครับ แต่เป็นวิธีการที่ง่ายที่ทำให้เรารู้ค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด ประเมินการใช้เงินของตัวเองได้ทุกวัน คนที่ทำได้รวยไปหลายรายแล้วครับ


5. หยุดเวลา หมายถึงจำกัดรายจ่ายเอาไว้ ไม่ให้เพิ่มตามอายุเรา ฟังดูเหมือนจะคล้ายข้อ 2 เพียงแต่มีจุดของเวลากำกับไว้ด้วย โดยกลุ่มตัวอย่างเล่าให้ฟังว่าปัจจุบันอายุ 40 ปี แต่กำหนดเพดานรายจ่ายส่วนตัวเอาไว้เท่ากับตอนที่อายุ 30 ปี ทำมาสม่ำเสมอเป็น 10 ปีแล้ว เคยมีรายจ่ายเท่าไหนก็เท่านั้นคุมเอาไว้เลย ตอนนี้มีเงินเก็บก้อนโตตามเป้าหมาย

6. แบ่งเงินเป็น 5 ส่วนอย่างเป็นระบบ เป็นการจัดการใช้เงินออกเป็น 5 ส่วนเท่าๆกัน(ส่วนละประมาณ 20%) คือ ดูแลพ่อแม่,จัดการเรื่องลูก,ออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน,ใช้จ่ายส่วนตัว, ลงทุนเพื่อให้เงินทองงอกเงย

7. มีสติในการใช้จ่ายและนึกถึงหน้าลูกทุกครั้งที่จะจ่ายเงินออกไป ข้อนี้กลุ่มตัวอย่างเป็นคุณยอดคุณแม่แสนดี ที่ตอนก่อนจะมีลูก ตัวเองจัดอยู่ในประเภทช้อปกระจาย แต่พอมีลูกแล้วปรากฏว่ามีพฤติกรรมการใช้เงินที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทุกครั้งที่จะใช้เงินพอนึกถึงหน้าลูกแล้วไม่อยากใช้เงินเสียดาย อยากเก็บไว้ให้ลูกเยอะๆ ลูกจะได้สบายและมีอนาคตที่ดี ฟังอย่างนี้แล้วต้องยกตำแหน่งซุปเปอร์คุณแม่ให้ด้วยครับ(ผมอยากให้คุณลูกรู้และสำนึกถึงความดีของคุณแม่จังเลย)

8. ทยอยลงทุน ใช้ในกรณีมีเงินออมแล้ว ควรรู้จักวิธีการลงทุนในหลายรูปแบบที่เหมาะสมกับตนเอง เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร บนระดับความเสี่ยงที่รับได้ และควรเป็นลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป

9. จ่ายไปเท่าไหร่ก็เก็บเงินชดเชยไว้เท่านั้น เช่นในกรณีไปรูดบัตรเครดิตเอาไว้หลายครั้ง รวมแล้วเป็นหมื่นก็จริง แต่ทุกครั้งที่รูดก็จะกันเงินเอาไว้เท่ากันทุกครั้ง ผลก็คือไม่ต้องปวดหัวเวลาจ่ายหนี้เนื่องจากกันเอาไว้จ่ายเรียบร้อยแล้ว ไม่กระทบกับเงินออมที่เตรียมเอาไว้

10. ซื้อประกันชีวิต หรือกระจายเงินออมในรูปแบบของกองทุนระยะยาวเช่น กองทุนRMF หรือ กองทุน LTF เพราะจะได้มีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลฟังดูดีมีรสนิยม เวลาที่มีเพื่อนฝูงและบรรดาญาติที่รู้ว่าเรามีเงินออมมาก แล้วชอบมายืมเงินเรา เป็นทางทางออกนิ่มๆครับ


เขียนโดย ยุทธนา กระบวนแสง

รู้จักเงินกันเถอะ

คงไม่มีใครไม่รู้ว่าเงินคืออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร ใช้ประโยชน์มันอย่างไร ก็คงคล้ายกับผมเองที่รู้จักว่ากุ้งคืออะไร ปลาคืออะไร แต่ถ้าจะให้เลี้ยง อาจจะเลี้ยงได้ไม่ดีเท่ากับคนที่ศึกษาเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี ผมจะไปศึกษาเรื่องกุ้ง เรื่องปลาไปทำไม แค่เลือกซื้อเป็น ทำกินเป็นก็คงพอแล้ว แต่เรื่องเงินนั้นไม่เหมือนกัน จะรู้จักหาและใช้อย่างเดียวมันไม่พอ เพราะเงินเกี่ยวข้องกับชีวิตโดยตรง คุณเลิกท่องว่าปัจจัย 4 มีอะไรบ้างไปได้เลย มีเงินไว้ก่อน ปัจจัย 4 จะตามมาเอง แล้วอย่างนี้จะละเลยเรื่องที่จะศึกษาเงินจริง ๆ จัง ๆ ได้อย่างไร เรื่องของเงินที่น่าสนใจก็คือธรรมชาติของเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ทั่วไป โดยเราจะยกตัวอย่างให้สักเล็กน้อย เพื่อให้ท่านเริ่มสังเกตเรื่องเงิน ๆ ของท่านเองในชีวิตประจำวัน

ธรรมชาติของเงิน

เราสามารถสังเกตเห็นเสมอ ๆ ว่า การใช้จ่ายเงินของผู้ที่ทำงานกินเงินเดือน มักจะใช้จ่ายมากในช่วงต้นเดือน ทั้งจ่ายหนี้เก่า ซื้อของที่เล็งไว้แล้วหลายอาทิตย์ หรือเที่ยวฉลองเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่พอปลายเดือนก็ต้องมาอยู่อย่างประหยัด คนเหล่านี้มักจะกล่าวเสมอ ๆ ว่า "ถ้า 1 เดือนมี 20 วัน คงไม่มีปัญหาเรื่องเงิน" สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และเป็นเรื่องธรรมดาของคนกับเงิน ซึ่งถ้าเราทำความเข้าใจกับธรรมชาติของเงินสักเล็กน้อย เงินเหล่านั้นก็จะไม่หลุดไปจากมือเราง่าย ๆ

ธรรมชาติของคนกับเงิน 1. เงินเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ : ข้อนี้คงไม่ต้องบางคนอาจจะเถียงว่า อธิบายมาก เพราะคนเราต้องตื่นแต่เช้า บุกบั่นมาทำงานก็เพื่อ "เงิน" บางคนอาจเถียงว่า สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่เงินแต่เป็นความสุข ซึ่งอันนี้ออกจะเป็นรายละเอียดปลีกย่อย แต่ยอมรับเถอะว่า คุณต้องการเงิน และหลาย ๆ คนก็ต้องการเงิน แต่เงินก็เป็นเพียงวัตถุที่เราสามารถบริหาร-จัดการได้ไม่ยากนัก ถ้าเรารู้จักมัน2. เงินที่ได้มาง่าย ก็เสียไปง่าย : หากคนเราได้เงินมาเป็นจำนวนมากในคราวเดียว ก็มักจะใช้จ่ายมากกว่าปกติ เงินที่กล่าวถึงในที่นี้ คือ

- เงินรางวัล คือสิ่งที่ได้มาด้วยดวง เช่น หวย ลอตเตอรี่ ชิงโชค

- โบนัสก้อนโต คือเงินโบนัสที่ได้มามากกว่า ที่เราคาดหวังไว้ - มรดก เป็นเงินสด (เป็นสิ่งขิงที่ขายได้)

- กำไรพิเศษ เช่น กำไรจากการขายที่ดินได้ ในยามเศรษฐกิจดี

- กำไรจากหุ้น หรือการค้าขายได้เฟื่องฟูโดยไม่ได้คาดหมายไว้

- เงินที่ได้มาฟรี ๆ จากญาติ พ่อแม่ ปู่ ย่า หรือใครก็ตามถ้าเรามีโอกาสได้เงินมาง่าย ๆ แสดงว่าเป็นความโชคดีของเรา แต่จงจำไว้ว่าโชคดีไม่ได้มีมาเสมอ หากใช้เสียหมดแล้ว ท่านต้องมาเสียใจในภายหลัง วิธีจัดการที่ดี คือ การนำเงินก้อนนี้ไปฝากประจำ (หรือลงทุนระยะยาวอื่น ๆ) แล้วลืมมันไปสักระยะ คิดเสียว่าไม่ใช่เงินของเรา3. ถ้ามีเงินถึงจุดหนึ่ง จะเริ่มอยากรวย : คนส่วนมากจะตระหนักถึงความสำคัญของการเก็บออม แต่คนที่มีความรู้สึกอยากรวย เท่านั้นจึงจะมีความตั้งใจเก็บออมได้ดี จากการสำรวจในอเมริกา พบสิ่งที่น่าสนใจว่า คนเราเมื่อมีเงินถึงจุดหนึ่ง ก็จะเกิดความรู้สึกอยากมีมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก ซึ่งคนพวกนี้จะตั้งใจเก็บเงินมากและมีความสุขกับตัวเลขในบัญชีที่เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีเงินเก็บไม่มาก มักจะยังไม่เกิดกิเลสในความโลภ เท่ากับคนที่เริ่มมีเงินเก็บ หรือความร่ำรวยในระดับหนึ่งแล้ว

การลงทุน

ความหมายการลงทุน

คือ การนำเงินที่เก็บสะสมไปสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการออม โดยการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือหลักทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งจะมี ความเสี่ยง ที่สูงขึ้น

การลงทุนส่วนบุคคล

ทำไมบุคคลจึงต้องลงทุน (Why Invest) โดยปกติรายได้ที่บุคคลได้รับจะถูกจัดสรรออกไปเป็น 2 ด้านใหญ่ ๆ คือ ส่วนหนึ่งเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และอีกส่วนหนึ่งเก็บออมไว้สำหรับใช้จ่ายในวันข้างหน้า

การใช้จ่ายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของบุคคลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าสามารถจัดสรรค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสมให้มีเงินเหลือใช้ ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะมีเงินออมเก็บไว้สำหรับความจำเป็นในวันข้างหน้าได้มากขึ้น

การที่คนเราเก็บออมก็เพราะได้เปรียบเทียบแล้วว่า เงินที่เก็บออมไว้เพื่อใช้จ่ายในวันข้างหน้าจะให้ประโยชน์คุณค่าหรือความพอใจสูงสุดแก่เขามากกว่าจะเอามาใช้เสียในวันนี้

ทำอย่างไรจึงจะให้เงินออมที่อุตส่าห์สะสมไว้เพิ่มพูนค่าและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของสิ่งสำคัญก็คือ คนเราต้องรู้จัก “การลงทุน “ (Investments) การลงทุนเป็นการนำเอาทรัพย์สินที่บุคคลมีอยู่ไปดำเนินการในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในช่วงเวลานั้น

การลงทุนแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

การลงทุนในสินทรัพย์ทีมีตัวตนเห็นประโยชน์จากการใช้ได้อย่างชัดเจน กับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เห็นประโยชน์การใช้ได้โดยชัดเจน (Tangible and intangible investment) การลงทุนซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ ซื้อเพชรพลอยของมีค่า

ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เราลงทุนเป็นเจ้าของไว้โดยตรงได้อย่างเต็มที่ที่เรียกว่า Tangible investment ส่วนการลงทุนในหุ้นพันธบัตรตราสารการเงินอื่น ๆ ซึ่งผู้ซื้อมีสิทธิเรียกร้องและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการถือกรรมสิทธิ์ในตราสารเหล่านี้ไว้ เรียกว่าเป็นการลงทุนแบบ Intangible investments สำหรับในบทนี้จะเน้นเฉพาะการลงทุนที่เป็น Intangible investments หรือที่จัดอยู่ในประเภทของการลงทุนทางการเงิน เป็นส่วนใหญ่

ความหมายของการออม

ความหมายของการออม

การออมคือ รายได้เมื่อหักรายจ่ายแล้วจะมีส่วนซึ่งเหลืออยู่ ส่วนของรายได้ที่เหลืออยู่ซึ่งไม่ได้ถูกใช้สอยออกไปนี้เรียกว่าเงินออม Incomes-Expenses=Savingsโดยทั่วไปการออมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมีรายได้มากกว่าการจ่ายของเขา ทางที่จะเพิ่มเงินออมให้แก่ บุคคล อาจทำได้โดยการพยายามหาทางเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นด้วยการทำงานมากขึ้น ใช้เวลาว่างในการหารายได้พิเศษ หรือการปรับปรุงงานที่ทำอยู่ให้มีประสิทธิภาพมีรายได้สูงขึ้น เป็นต้น นอกจากนั้นการลดรายจ่ายลงด้วยการรู้จักใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมก็จะทำให้มีการออมเกิดขึ้นได้เหมือน

ความสำคัญของเงินออม

เงินออมเป็นปัจจัยที่จะทำให้เป้าหมายซึ่งบุคคลกำหนดไว้ในอนาคตบรรลุจุดประสงค์ เช่น กำหนดเป้าหมายไว้ว่าจะต้องมีบ้านเป็นของตนเองในอนาคตให้ได้ เงินออมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดเป้าหมายที่วางไว้เป็นจริงขึ้นมาได้ นอกจากนี้เงินออมยังใช้สำหรับแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงของบุคคลได้ด้วย ดังนั้นบุคคลจึงควรมีการออมอย่างสม่ำเสมอในชีวิต

สิ่งจูงใจในการออม

การที่คนเรามี “เป้าหมาย” อย่างหนึ่งอย่างใดในอนาคตกำหนดไว้อย่างชัดเจนแน่นอนก็จะทำให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะเก็บออมมากขึ้น เป้าหมายของแต่ละบุคลอาจแตกต่างกัน แล้วแต่ความจำเป็นและความต้องการของเขาและยังขึ้นอยู่กับความหวังและความทะเยอทะยานในชีวิตของเขาด้วย ตัวอย่างเช่น บางคนอยากมีบ้านและที่ดินเป็นของตังเอง อยากจะมีการศึกษาสูงอยากมีชีวิตที่สุขสบายในยามปลดเกษียณ หรือหวังที่จะให้ลูกหลานมีหลักฐานมั่นคง ดังนั้นเป้าหมายในการออมแตกต่างกันนี้จะเป็นสิ่งที่กำหนดให้จำนวนเงินออมและระยะเวลาในการออมแตกต่างกันไป

การปฏิบัติเกี่ยวกับการออมที่ดี

เงินสดส่วนบุคคลขึ้น ซึ่งจะทำให้ทราบว่าแต่ละเดือนจะมีเงินคงเหลือเป็นเงินออมเท่าไหร่ ในทางปฏิบัติเพื่อให้การออมได้ผลจริงๆควรจัดทำดังนี้

- ทางที่จะสามารถทราบล่วงหน้าได้ว่าจะมีการออมได้หรือไม่นั้นก็โดยการจัดทำงบ ประมาณเงินทำงบประมาณรายได้รายจ่ายเพื่อจะรู้ว่ามีเงินเหลือที่จะเก็บออมเท่าไร

- เมื่อทำงบประมาณและทราบได้ว่าจะสามารถเก็บออมได้เดือนละเท่าไหร่แล้วให้กันเงิน ออมส่วนนั้น (ก่อนที่จะจ่ายเป็นรายจ่ายออกไป ) แล้วนำไปฝากธนาคารทันที รายได้ที่เกิดขึ้นจากเงินออม เช่น ดอกเบี้ยที่ได้รับ ควรนำไปลงทุนต่อทันที เพื่อให้เงินออมงอกเงยขึ้นไปอีกการเก็บรักษาเงินออมให้ปลอดภัย นั้นเงินออมการเก็บเงินไว้กับตนเองย่อมไม่ปลอดภัยและเป็นการสูญเสียรายได้ที่ควรจะได้รับ ดังนั้นควรเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยและมีรายได้ด้วย โดยการฝากสถาบันการเงินบางแห่งไว้ เช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารออมสิน สหกรณ์ออมทรัพย์ หรืออาจจะเก็บออมในรูปของการซื้อหลักทรัพย์หรือตราสารฯ ที่มีความมั่นคง ก่อให้เกิดรายได้และสามารถเปลี่ยนมาเป็นเงินสดได้ง่ายมาถือไว้ เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาล สลากออมสิน พันธบัตรออมทรัพย์ต่างๆ ตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนที่มั่นคง การซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมหรือซื้อหุ้นของบริษัทที่มั่นคงถือไว้ ฯลฯ