15/2/54

Saint Valentine

Historical factsNumerous early Christian martyrs were named Valentine.[6] The Valentines honored on February 14 are Valentine of Rome (Valentinus presb. m. Romae) and Valentine of Terni (Valentinus ep. Interamnensis m. Romae).[7] Valentine of Rome[8] was a priest in Rome who was martyred about AD 269 and was buried on the Via Flaminia. His relics are at the Church of Saint Praxed in Rome,[9] and at Whitefriar Street Carmelite Church in Dublin, Ireland.

Valentine of Terni[10] became bishop of Interamna (modern Terni) about AD 197 and is said to have been martyred during the persecution under Emperor Aurelian. He is also buried on the Via Flaminia, but in a different location than Valentine of Rome. His relics are at the Basilica of Saint Valentine in Terni (Basilica di San Valentino).[11]

The Catholic Encyclopedia also speaks of a third saint named Valentine who was mentioned in early martyrologies under date of February 14. He was martyred in Africa with a number of companions, but nothing more is known about him.[12]

No romantic elements are present in the original early medieval biographies of either of these martyrs. By the time a Saint Valentine became linked to romance in the 14th century, distinctions between Valentine of Rome and Valentine of Terni were utterly lost.[13]

In the 1969 revision of the Roman Catholic Calendar of Saints, the feast day of Saint Valentine on February 14 was removed from the General Roman Calendar and relegated to particular (local or even national) calendars for the following reason: "Though the memorial of Saint Valentine is ancient, it is left to particular calendars, since, apart from his name, nothing is known of Saint Valentine except that he was buried on the Via Flaminia on February 14."[14] The feast day is still celebrated in Balzan (Malta) where relics of the saint are claimed to be found, and also throughout the world by Traditionalist Catholics who follow the older, pre-Second Vatican Council calendar. February 14 is also celebrated as St Valentine's Day in other Christian denominations; it has, for example, the rank of 'commemoration' in the calendar of the Church of England and other parts of the Anglican Communion.[15]

Romantic legends
Saint Valentine of Terni and his disciples.The Early Medieval acta of either Saint Valentine were expounded briefly in Legenda Aurea.[16] According to that version, St Valentine was persecuted as a Christian and interrogated by Roman Emperor Claudius II in person. Claudius was impressed by Valentine and had a discussion with him, attempting to get him to convert to Roman paganism in order to save his life. Valentine refused and tried to convert Claudius to Christianity instead. Because of this, he was executed. Before his execution, he is reported to have performed a miracle by healing the blind daughter of his jailer.

Since Legenda Aurea still provided no connections whatsoever with sentimental love, appropriate lore has been embroidered in modern times to portray Valentine as a priest who refused an unattested law attributed to Roman Emperor Claudius II, allegedly ordering that young men remain single. The Emperor supposedly did this to grow his army, believing that married men did not make for good soldiers. The priest Valentine, however, secretly performed marriage ceremonies for young men. When Claudius found out about this, he had Valentine arrested and thrown in jail.

There is an additional modern embellishment to The Golden Legend, provided by American Greetings to History.com, and widely repeated despite having no historical basis whatsoever. On the evening before Valentine was to be executed, he would have written the first "valentine" card himself, addressed to a young girl variously identified as his beloved,[17] as the jailer's daughter whom he had befriended and healed,[18] or both. It was a note that read "From your Valentine

9/1/54

การสร้างสปอร์ (Spore formation, sporulation)และความทนทานของสปอร์


เมื่อจะเริ่มสร้างสปอร์จะมีการสร้างผนังกั้นเซลล์ (cross wall หรือ septum)ใกล้ๆปลายเซลล์ ส่วนของไซโทพลาซึมและ DNA จะแยกจากส่วนของเซลล์ที่เหลือ ส่วนของเซลล์ที่เหลือที่มีขนาดใหญ่กว่า จะมาห้อมล้อมส่วนเล็กกว่า กล่ยเป็นฟอร์สปอร์ (fore spore) หลังจากนี้จะมีการสร้างส่วนประกอบของสปอร์ ได้แก่ ชั้นคอร์เทกซ์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นระหว่างเยื่อหุ้มสปอร์ชั้นในและชั้นนอก และสร้างสปอร์โคท เกิดอยู่รอบนอก และเกิดเอกโซสปอเรียม ห้อมล้อมสปอร์โคทอีกทีหนึ่ง หลังจากสร้างเป็นเอนโดสปอร์เรียบร้อยแล้ว เซลล์เดิมจะสลายไป สปอร์ที่เหลือจะกลายเป็นเอกโซสปอร์ (exospore) หรือสปอร์อิสระ (free spore)

การสร้างสปอร์ เป็นกลไกเพื่อการอยู่รอดที่ขึ้นกับพันธุกรรมและสภาพแวดล้อมทางสรีรวิทยาที่เหมาะสม สิ่งแวดล้อมมีทั้งภายนอกและภายในที่จำเป็นในการสร้างสปอร์ สภาพทางกายภาพ ได้แก่

1.ช่วงอุณหภูมิที่พอเหมาะกับการเจริญของเซลล์ปกติ
2.ช่วงของ pH ใกล้เคียงกับ pH ที่เหมาะสมของการเจริญของเซลล์ปกติ
3.ออกซิเจนเพิ่มขึ้น (ในกรณีที่ใช้ออกซิเจน) เช่น Bacillus
สารเคมีที่ต้องการใช้ในการสร้างสปอร์ ได้แก่ น้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโนบางชนิด ปัจจัยในการเจริญเติบโต เช่น วิตามิน เกลือแร่ เช่น กรดโฟลิก (จำเป็นต่อ Bacillus coagulans) ฟอสเฟต แคลเซียม แมงกานีส ไบคาร์บอเนต

องค์ประกอบทางเคมีของสปอร์ มีน้ำอิสระน้อยมาก มีแคลเซียมไดพิโคลิเนต (Calcium dipicolinate) ประมาณ 10 % ของน้ำหนักแห้งของสปอร์ ซึ่งไม่พบในเซลล์อื่นๆเลย ในบริเวณแกนกลางประกอบด้วย DNA มาก มีเอนไซม์และ RNA น้อย ไม่มี mRNA ชั้นผนังสปอร์และคอร์เทกซ์มีไกลโคเพปไทด์ ชั้นสปอร์โคทมีโปรตีนมาก ซึ่งมีกรดอะมิโนซีสทีนมากทำให้เกิดพันธะเชื่อม ทำให้สปอร์ทนความร้อนได้ดี

ความทนทานต่อความร้อนของสปอร์ เนื่องจากสาเหตุดังนี้

1.มีองค์ประกอบพิเศษที่ทนความร้อนได้ดี เช่น เอนไซม์ที่ทนความร้อน
2.ไม่มีน้ำอิสระ
3.มีแร่ธาตุมาก โดยเฉพาะแคลเซียม
4.มีกรดไดพิโคลินิก
พบว่าการทนความร้อนของสปอร์ เนื่องจากความสัมพันธุ์ระหว่าง Ca2+ กับการสร้างไดพอโคลินิก เช่น ถ้าเลี้ยงแบคทีเรียที่กำลังสร้างสปอร์ในอาหารที่ขาด Ca2+ ระดับการทนความร้อนจะลดลง หรือถ้าเลี้ยงในอาหารที่ขาดกรดไดพิโคลินิก ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน จึงแสดงว่า ธาตุแคลเซียมและกรดไดพิโคลินิกมีความสัมพันธุ์กับการทนความร้อนของสปอร์แบคทีเรีย

27/12/53

เค้ก








เค้ก (อังกฤษ: cake) เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มักจะมีลักษณะหวานและผ่านกระบวนการอบ ซึ่งจะทำมาจากแป้ง, น้ำตาล และส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ไข่, แป้งเปียก, ผัก, ผลไม้ที่ให้รสหวานหรือเปรี้ยว เป็นต้น หรือส่วนประกอบที่มีไขมัน เช่น เนย, ชีส, ยีสต์, นม, เนยเทียม เป็นต้น และนิยมรับประทานเป็นของหวาน และฉลองในเทศกาลต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเกิดและวันแต่งงาน ซึ่งในโลกมีตำรับหรือสูตรการทำเค้กเป็นจำนวนล้านๆ สูตร อีกทั้งตำรับการทำเค้กบางแห่งก็มีการสืบทอดการทำและสูตรตำรับเป็นอายุมากมายหลายศตวรรษ ซึ่งขั้นตอนการทำเค้กนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากมากมาย

เค้กปอนด์ หมายถึง เค้กที่ทำจากแป้งหนึ่งปอนด์ น้ำตาลหนึ่งปอนด์และ เนยหนึ่งปอนด์

วิธีเลือก กางเกงยีนส์

1. เลือกซื้อไซส์เล็กกว่าขนาดจริง 1 เบอร์ อย่าเพิ่งคิดว่าจะฟิตเกินไป เพราะเมื่อใส่ไปสักพัก เนื้อผ้าจะขยายออก 10%

2. ถ้าเจอตัวที่ถูกใจซื้อไว้เลย 2 ตัว ตัวแรกตัดให้พอดีข้อเท้า ไว้ใส่กับรองเท้าส้นแบน อีกตัวทิ้งความยาวปลายขาไว้ เพื่อใส่กับรองเท้าส้นสูง

3. เลือกกางเกงยีนส์แบบซิป เพราะใส่ง่ายและแนบกับสรีระมากกว่าแบบกระดุม

4. อย่าลืมเอาเข็มขัดไปด้วย เพื่อลองกางเกงพร้อมกับเข็มขัด จะได้รู้ว่าใส่พอดีและเข้ากันดีหรือไม่

5. นำไปซักก่อนการแก้ไขใดๆ เพราะหลังจากการซักกางเกงยีนส์อาจหดตัว ทำให้ขนาดเปลี่ยนไป

6. รักษาตะเข็บที่ปลายขาไว้ การตัดขากางเกงแบบต่อปลายตะเข็บเดิม อาจแพงกว่า แต่ก็ช่วยให้กางเกงตัวเก่งของคุณสวยสมบูรณ์แบบ

7. ซักด้วยน้ำเย็นทุกครั้ง เพราะน้ำอุ่นจะทำให้กางเกงยีนส์หดตัว อย่าลืมกลับด้านก่อนซักเพื่อป้องกันสีซีดจาง

8. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะสารเคมีอาจทำลายสีของกางเกงให้ซีดจาง

9. อย่ารีดด้วยความร้อนสูง เพราะความร้อนอาจทำให้เนื้อผ้าหดตัว

10. ซักแห้งดีที่สุด เพราะช่วยให้สีของกางเกงยีนส์ยังคงเดิมอยู่เสมอ (โดยเฉพาะสีเข้ม)

15/12/53

นํ้าหอม

เราเชื่อกันว่านํ้าหอมนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว จากหลักฐานภาพวาดจิตรกรรม ฝาผนังตอนหนึ่งที่วิหารของพระราชินี Hatshepsut ที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอิยิปต์โบราณกำลังชโลมนํ้าหอมลงบนศรีษะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ามีการใช้นํ้าหอมกันแล้วในยุคนั้น ซึ่งคาดว่านักเดินเรือชาวอิยิปต์ได้ไปนำมาจากดินแดนอื่น นํ้าหอมในสมัยโบราณนั้นจะทำมาจากยางไม้หอม ซึ่งยางไม้หอมแบบนี้จะมีอยู่ที่ Arabia และ Somalia เท่านั้น คำว่า "Perfume" นี้มีรากศัพท์มาจากภาษา ละติน ที่แปลว่า "ควัน"
ในกรีก (Greek) โบราณคนที่ทำนํ้าหอมนั้นจะเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ปรับปรุงมรดกการทำนํ้าหอมที่ตกถอดมาจากชาวอียิปต์โบราณให้พัฒนาดีขึ้นไป

ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน (Roman) การทำนํ้าหอมเขาจะใช้ยางไม้หอมจากต้นไม้จำพวก Boswellia โดยสั่งนำเข้ามาจาก Arabia และได้บวกกับส่วนผสมที่ได้มาจากทะเลจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนผสมใหมที่ใส่ลงไป ในการทำนํ้าหอม ของชาวโรมันในสมัยนั้น เศรษฐีชาวโรมันจะใช้นํ้าหอมตามความพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าใช้แบบล้างผลาญเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ พวกเศรษฐีเหล่านี้จะเอานํ้าหอมไปพ่น และฉีดตามพื้นและกำแพงบ้านของตัวเอง และนอกจากนี้ยังนำนํ้าหอมไปฉีดให้กับสัตว์เลี้ยงของบรรดาเศรษฐีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สุนัข และ ม้า

แต่ก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของนํ้าหอมแล้วนั้นจะเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle ages) เมื่อชาวอาหรับ (Arabs) ได้คิดค้นพัฒนาเทคนิคในการกลั่นนํ้าหอมได้เป็นผลสำเร็จ
พื้นที่ขนาดใหญ่โตของอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ทำการปลูกดอกกุหลาบ เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม เนื้อที่ที่ใช้ปลูกดอกกุหลาบนี้ใหญ่โตมหาศาลมาก จนถึงกับมีเรื่องเล่าขานกันว่า "กรุง Baghdad" (เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นได้สมญานามที่เรียกขานกันว่า "City of Fragrances"
นอกจากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบส่วนผสมตัวใหม่ในการทำนํ้าหอมอีกด้วย นั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่นชะมดนั่นเอง ชาวอาหรับได้นำเจ้ากลิ่นชะมดนี้ไปผสมกับปูนขาว และพวกเขาก็นำปูนขาวที่ได้นี้ไปใช้สร้างสุเหร่า (Mosque) และพระราชวัง ซึ่งก็ทำให้ได้สุเหร่า และพระราชวังที่มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง และนี่คืออีกหนึ่งที่มาจากเรื่องเล่าถึงคำว่า "City of Fragrances" นั่นเอง

ในช่วงสมัยของ Crusaders ได้นำเครื่องหอมจากอาหรับไปให้ชาวยุโรปได้รู้จัก แต่สำหรับก้าวแรกของนํ้าหอม ในยุโรปนั้นเริ่มจริง ๆ ก็ในศตวรรษที่ 16 เมื่อ แคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) มาที่ประเทศ Italy เพื่อที่จะแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์ในช่วงนั้น
จากนี้ไปนํ้าหอม ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในต้นศตวรรษที่ 19 ได้มีนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจาก สารเคมีจนได้กลิ่นต่าง ๆ มากมายหลายพันกลิ่น จนกระทั่งนํ้าหอมได้กระจายไปทั่ว จนเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

30/11/53

เรื่องน่าสนใจของญี่ปุ่น

เรื่องน่าสนใจของญี่ปุ่น




1. ที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะถนนจะโล่งแค่ไหน
หรือจะเป็นตอนดึกที่ถนนว่างไม่มีรถซักคันแค่ไหน
คน ญี่ปุ่นจะไม่ข้ามถนนเลย แต่จะเดินไปจนเจอ
ทางม้าลายและรอไฟเขียวให้คนข้ามถึงจะข้าม
(เป็น ระเบียบสุดยอดเลย)



2. การให้บริการลูกค้าใน ญี่ปุ่นเน้นเรื่อง Service Mind เป็นอย่างมาก
หาก ไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสไปห้างสรรพสินค้าหรือตามร้านต่างๆ
ก็ จะได้รับการบริการเหมือนเป็นพระเจ้าเลยล่ะ
หลังจากซื้อของเสร็จ พนักงานจะคอยยืนส่งลูกค้าไปจนลับสายตา
เพราะ ถือว่าหากลูกค้ามองกลับมาแล้วไม่เจอพนักงาน จะถือว่าเสียมารยาท



3. คนญี่ปุ่นมีอัตราการ ฆ่าตัวตายต่อปีที่สูง หนึ่งในวิธียอดนิยมคือ
การกระโดดให้รถไฟทับตาย
แต่ รู้มั้ยว่าถ้าหากกระโดดให้รถไฟทับตาย
พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนที่แพงมหาศาล
เพราะ ถือว่าทำความเดือดร้อนให้กับบริษัทรถไฟที่ต้องหยุดวิ่ง
เพื่อทำความสะอาดรางและรถไฟ และ ต้องสูญเสียรายได้
(จะตายทั้งที ก็อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนนะ
ทางที่ดีอย่าตายดีกว่า)


4.ห้ามฟังเพลงจากหูฟัง ในขณะที่ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน
เพราะ ทำให้สมรรถภาพการขับขี่ลดลง ถ้าตำรวจพบ จะถูกปรับ



5. รวมถึงการซ้อนจักรยาน ถึงจักรยานจะมีเบาะให้ซ้อน ก็ห้ามซ้อน
เพราะตำรวจอาจเรียกได้เบาะซ้อนมีไว้วางของ ยกเว้นเด็กเล็กที่ซ้อนได้
แต่ต้องนั่งเบาะพิเศษของเด็ก
(หนุ่ม สาว อดซ้อนสวีทกันเลยล่ะสิ)


6.ที่ญี่ปุ่นไม่มีหมา จรจัด มีแต่แมวจรจัด ซึ่งก็มีน้อยมากๆ
เพราะ หมาจรจัด หรือที่ถูกทอดทิ้ง จะถูกเทศบาลจับไปหมด
ได้ ยินว่าถูกเอาไปฆ่าด้วย สงสารน้องหมาอ่ะ T^T



7. ถ้าลืมของไว้ที่ร้านอาหารหรือข้างทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะหาย
สอง วันผ่านไปมันจะยังคงอยู่ที่เดิม (หรือทางร้านจะเก็บ ไว้ให้)
เพราะ ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจ ถ้าไปญี่ปุ่นแล้ว เห็นมีหมวก ผ้าพันคอ กระเป๋า
แขวนตามต้นไม้
เพราะ คนที่เก็บได้เขาจะนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับที่มีคนทำตก
เพื่อ ให้เจ้าของกลับมาตามหาเจอ (ที่ไทย สองวินาทีหายเรียบ 5555 )


8. ของแฮนด์เมดที่ ญี่ปุ่น ราคาแพงมากกกกกกกกกก
คน จะยกย่องและฮือฮามาก ถ้าคุณทำของแฮนด์เม ดได้ เพราะถือว่ามีฝีมือสุดยอด



9. คนท้องจะมีแท็กจากโรง พยาบาลให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
เพื่อ ที่คนอื่นจะได้รู้ว่าคนนี้ท้อง และจะได้บริการให้เป็นพิเศษ
เช่น ลุกให้นั่งบนรถไฟใต้ดิน (เพราะบางคนก็อ้วนไง)



10. ห้องพักตามอพาร์ทเมนท์ คอนโด และโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น จะไม่มีห้องหมายเลข 4
เพราะ ถือว่าเป็นตัวเลขอัปมงคล เพราะอ่านออกเสียงพ้องกับคำที่แปลว่า ตาย



11. ร้านอาหารที่ญี่ปุ่น ไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านอื่นมา
ทานในร้าน แม้ กระทั่งน้ำเปล่าจาก 7-11


12. 7-11 หรือร้านสะดวกซื้อ อื่นๆ มีห้องน้ำให้เข้าฟรี (ดีจัง)



13. เวลาทิ้งขยะที่เป็น ขวดกล่องน้ำหรือนม
จะ ต้องล้างขวดหรือกล่องนั้นให้สะอาดก่อนแล้วค่อยทิ้ง
เพราะ หากทิ้งลงไปทั้งอย่างนั้น ของข้างในอาจบูดเน่าและส่งกลิ่นเหม็น (สุดยอดๆ)



14. สามารถยืนอ่านหนังสือ โป๊หรือการ์ตูนโป๊ได้แจ่มๆ
ไม่ มีใครมองด้วยสายตาแปลกประหลาด (555555 จะดีเหรอ)


15. ผู้ชายญี่ปุ่นแทบทุก คน ชอบกันคิ้ว
เพราะผู้ชายที่นี่รักสวยรักงามไม่แพ้ผู้หญิง
ถ้า ไปทำผมในร้านเสริมสวย ช่างทำผมจะถามแน่นอน ว่าจะกันคิ้วเพิ่มด้วยมั้ย

17/11/53

กบฏวังหลวง

นับตั้งแต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นถือบังเหียนปกครองประเทศ ได้มีการปฎิวัติ รัฐประหาร กบฎ จลาจล กันอยู่ตลอดเวลา และแม้จะเป็นฝ่ายพลเรือนกับทหาร หรือจะเป็นการต่อสู้ระหว่างชาตินิยมกับสังคมนิยม หรือระบบนาซี แบบฮิตเลอร์ กับนายปรีดี พนมยงค์ ผู้ยึดถือสังคมนิยมแบบพวกอำมาตยาธิปไตย ก็มีบทบาทแต่แรกๆเท่านั้น เมื่อจอมพล ป. ได้อำนาจแล้วอิทธิพลของพวกอำมาตยาธิปไตย ก็หมดไป เพราะจอมพล ป. กำจัดเสียราบคาบ
คืนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 เป็นวันวิปโยคอีกวันในระบบประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือแบบอนาธิปไตย ที่ท่าพระจันทร์ผู้คนกำลังพลุกพล่านสับสน ในคืนนั้นไม่มีใครรู้ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นในประเทศไทย
ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส เจ้าของโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ภายใต้เครื่องแบบทหารยศพันจ่าเอก ไว้หนวดเล็กน้อยแบบฮิตเลอร์ ยังมีเรือเอกวัชรชัย ชัยสิทธิเวช ได้มาปรากฎตัวที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะได้มีการนัดมากินเลี้ยงกัน บุคคที่นายปรีดีนัดแนะมาได้แก่ พล.ต. สมบูรณ์ ศรานุชิต นายปราโมทย์ พึ่งสุนทร์ นายสมพงษ์ ชัยเจริญ นายละออ เชื้อภัย นายกมล ชลศึก นายทวี ตเวกุล และยังมีคนอื่นๆอีกประมาณ 50 คน
ในขณะที่บุคคลสำคัญๆ เลี้ยงสุรากันอย่างสนุกสนาน เพื่อความร่วมมือกันเป็นเอกฉันท์ในการล้มล้างรัฐบาลจอมพล ป. ตลอดระยะเวลาได้ดำเนินไปอย่างเป็นกันเองนั้น พรรคพวกของนายปรีดีได้ลำเลียงอาวุธซึ่งได้มาเมื่อคราวเป็นเสรีไทย เข้าไปรวบรวมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นจำนวนมาก
หลังจากที่งานเลี้ยงผ่านไปแล้ว นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นับถือพระเจ้าองค์เดียวคือ คาร์ลมาร์กซ์ ก็เริ่มวางแผนที่จะยึดอำนาจ แผยแรกคือใช้กำลังส่วนหนึ่งเข้ายึดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เอาไว้ เป็นกองบัญชาการ และรวบรวมสรรพกำลัง
แผนต่อไปคือจะใช้กำลังส่วนหนึ่ง เข้ายึดพระบรมมหาราชวังไว้เป็นกองบัญชาการชั่วคราว ส่วนที่บัญชาการคุมกำลังส่วนใหญ่ หรือเป็นที่รวบรวมสรรพอาวุธอันสำคัญนั้น อยู่ที่กองสัญญาณทหารเรือที่ศาลาแดง กำลังอีกส่วนหนึ่ง นายปรีดี ได้บัญชาการให้ไปยึดบริเวณวัดพระเชตุพนตรงข้ามกับ ร. พัน 1. เพื่อเป็นการตรึงกำลัง ร. พัน. 1 ไว้
เมื่อกำลังส่วนต่างๆ ในพระนคร โดยมีทหารบก พลเรือน ตำรวจเข้ายึดสถานที่สำคัญๆ เพื่อตรึงกำลังของหน่วยทหารบกบางแห่งไว้แล้ว ด้านกลุ่มเสรีไทย ที่เคยร่วมมือกับนายปรีดีต้านญี่ปุ่น ก็จะเคลื่อนกำลังเข้าสสทบโดยเร็วที่สุด โดย นายชาญ บุนนาค ผู้จัดการป่าไม้สัมปทานหัวหิน จะเป็นผู้นำพวกเสรีไทยเข้าสู่พระนคร นายชวน เข็มเพชร นำพวกเสรีไทยภาคตะวันออกได้แก่ ลาว ญวณอิสระ เข้ามาทางอรัญประเทศ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายจำลอง ดาวเรือง นายถวิล อุดล และนายเตียง ศิริขันธ์ จะนำพวกเสรีไทยยึดภาคอิสาน แล้วจะนำพวกเสรีไทยเข้ามาสมทบในพระนคร นายเปลว ชลภูมิ จะนำเสรีไทยจากเมืองกาญจนบุรี เข้ามาสมทบอีก
สำหรับทหารเรือที่เป็นฝ่ายสนับสนุนการปฎิวัติของนายปรีดีนั้น ก็มี พล.ร.ต. สังวร สุวรรณชีพ พล. ร.ต. ทหาร ขำหิรัญ ก็จะนำกำลังทหารเรือบางส่วนจากสัตหีบ ชลบุรี ระยอง เคลื่อนทารวมกำลังที่ชลบุรี ต่อจากนั้นจะมุ่งสู่กรุงเทพฯ เพื่อดำเนินตามแผนการณ์ที่วางไว้
2 ทุ่มเศษๆ รถยนต์ 4 คัน ภายในรถมีอาวุธและพลพรรคเต็มคันรถ โดยการนำของ ร.อ. วัชรชัย ชัยประสิทธิเวช ได้เคลื่อนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยไม่มีใครเฉลียวใจว่า รถ 4 คันนั้นเป็นของใคร
หน้าประตูวิเศษไชยศรี นายเรือเอก วัชรชัย กระโดลงจากรถ พร้อมด้วยพรรคพวก ก็พร้อมอยู่แล้วสำหรับเหตุการณที่จะเกิดขึ้น จากนั้น ร.อ. วัชรชัย ก็ร้องเรียกให้นายร้อยโทพร เลิศล้ำ ผู้กองรักษาการณ์ ร. พัน. 1 ประจำพระบรมมหาราชวัง ออกมาพบที่หน้าประตู เมื่อ ร.ท. พร ออกมาพบก็ถูกเอาปืนจี้บังคับให้ปลดอาวุธโดยทันที จากนั้นก็บุกเข้าไปปลดอาวุธทหารที่รักษาการณ์ทั้งหมด แล้วเข้ายึดพระบรมมหาราชวังไว้ได้ ก่อนจะลำเรียงอาวุธนานาชนิดเข้าไป
เมื่อการยึดพระบรมมหาราชวังได้เป็นไปตามแผนแล้ว นายปรีดี พนมยงค์ กับพรรคพวก 7 คน สวมเครื่องแบบทหารสื่อสาร พร้อมอาวุธครบมือ ได้พากันเข้าไปในสถานีวิทยุพญาไท แล้วใช้อาวุธบังคับเจ้าหน้าที่กรมโฆษณาการ แล้วกระจายข่าวว่า...
ได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ล้มเลิกรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เสีย และคณะรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งด้วย และได้แต่งตั้งนาย ดิเรก ชัยนาม เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง ให้นายทวี บุณยเกต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และได้ประกาศแต่งตั้งและปลดบุคคลสำคัญ อีกหลายคน
จากนั้นพวกกบฎก็ถอดชิ้นส่วนของเครื่องวิทยุกระจายเสียงไปด้วย เพื่อป้องกันมิให้รัฐบาลทำการกระจายเสียงต่อไปได้

4/9/53

เดอะแฟนธ่อมออฟดิโอเปร่า

เดอะแฟนธ่อมออฟดิโอเปร่า (อังกฤษ: The Phantom of the Opera; ฝรั่งเศส: Le Fantôme de l'Opéra) เป็นวรรณกรรมฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งประพันธ์โดยนักเขียนชาวฝรั่งเศสนามว่า กาสตง เลอรูซ์ เป็นนวนิยายแนวโกธิกแบบลึกลับสยองขวัญซึ่งอิงจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในโรงอุปรากรการ์นิเย่ของฝรั่งเศส และมีเนื้อหาที่กล่าวถึงความรักสามเส้าระหว่างชายอัปลักษณ์ชื่ออีริค (แฟนธ่อม) คริสตีน ดาเอ้ ผู้เป็นนักร้องอุปรากรสาวซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขา และราอูล ซึ่งเรื่องนี้จบลงด้วยโศกนาฏกรรมที่เศร้าสลด

จากเนื้อหาที่คลาสสิกของ เดอะแฟนธ่อมออฟดิโอเปร่า นี้เอง ที่ทำให้มีการนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์, ละครเวที และละครเพลงอยู่บ่อยครั้งตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และยังมีบทประพันธ์ลูกอีกหลายเรื่อง อาทีเช่น The Phantom (โดย Susan Kay), แฟนท่อม ออฟ เดอะ แมนฮัตตั้น เป็นต้น

นิยายเรื่อง เดอะแฟนท่อมออฟดิโอเปร่า นับเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ด้วย เนื่องจาก กาสตรง เลอลูซ์ได้เขียนขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากเห็นการณ์ที่เกิดขึ้นจริงโดยนับจากช่วงเวลาที่เขาเขียนนิยายย้อนกลับไปประมาณสามสิบปี ซึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความสนใจแก่เลอลูซ์ คือ "การตกลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุของโคมระเย้า" ระหว่างอุปรากรเรื่อง "เฟ้าส์" ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายคนและเสียชีวิตหนึ่งคน, การจมน้ำเสียชีวิตคนกลุ่มเล็กๆ ในคลองใต้โรงละครอย่างลึกลับ, การเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของเค้าท์ฟิลลิปป์ซึ่งเป็นผู้อุปถัมโรงละคร และมีการพบศพของเขาที่ปากท่อระบายน้ำ, เรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผี" ในโรงละคร และการที่โรงละครจะต้องสูญเงินอย่างเป็นปริศนามาถึง 20,000 ฟรังส์ต่อเดือนในช่วงนั้น

แม้ในนิยาย "ผีแห่งโรงละคร" จะเป็นเรื่องที่พูดกันมากในช่วงเวลานั้นจริงๆ แต่แท้จริงแล้ว เรื่องของผีไม่ใช่เรื่องแพร่หลาย หากเป็นเรื่องที่รู้กันลับๆ เฉพาะในหมู่คนที่ทำงานในโรงอุปรากรเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ เรื่องของผีตนนี้โด่งดังขึ้นจากนวนิยายของเลอลูซ์นั้นเอง

กาสตรง เลอลูซ์ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเชื่อเรื่องที่เขาเขียน และยังอ้างว่าระหว่างการซ่อมแซมโรงอุปรากรการ์นิเย่ เขาได้พบศพของมนุษย์ ซึ่งเขาแน่ใจว่านั่นคือ อีริค-ผีแห่งโรงละคร โดยอ้างว่าโครงกระดูกนั่นมี "แหวนทองคำเกลี้ยง" สวมที่นิ้ว ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของคนเปอร์เซียที่ว่า "เขาได้รับแหวนทองคำจากคริสติน ดาเอ้ในวันที่เธอทิ้งเขาไป" แต่เลอลูซ์ ไม่ได้บอกว่าร่างที่เชื่อว่าเป็นอีริคนั้นถูกย้ายไปไว้ที่ไหน