5/8/52

พระประวัติ

พระประสูติกาล
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประสูติเมื่อ
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร[2] เป็นพระธิดาพระองค์แรกในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกและสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระนามแรกประสูติตามที่โรงพยาบาลตั้งถวายคือ May ซึ่งเป็นเดือนที่พระองค์ประสูติ ต่อมาเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามว่า หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา มหิดล (คำว่า "วัฒนา" ในพระนาม ทรงตั้งตามพระนามาภิไธยของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา[3]
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นการลำลองว่า บี๋
[4]

[แก้] ขณะทรงพระเยาว์
หลังจากประสูติได้ไม่นาน สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงย้ายจากลอนดอนไปประทับที่เมืองเซาท์บอนซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอังกฤษ จากนั้นเสด็จไปยังเมืองบอสคัม อยู่ติดชายฝั่งด้านทิศใต้ของอังกฤษ
[5] ต่อมาเมื่อพระชันษาได้ 6 เดือน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จึงตามเสด็จฯ สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี กลับประเทศไทย
วันที่
1 กรกฎาคม พ.ศ. 2468 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ตามเสด็จฯ สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชนนีไปประทับที่ประเทศเยอรมนี[5] ช่วงเวลานั้นเองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้ประสูติ ณ เมืองไฮเดลเบิร์ก
สมเด็จพระบรมราชชนก เสด็จกลับประเทศอีกครั้งเมื่อ
พ.ศ. 2469[5] เพื่อร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และประทับอยู่ร่วมในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ช่วงเวลานั้น ดร.ฟรานซิส บี แซร์ ชาวอเมริกันผู้เป็นอดีตที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ เล่าถวายสมเด็จพระบรมราชชนก ว่าที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีสถานที่รับเลี้ยงเด็กชื่อ ชองโซเลย (Champ Soleil) มีเจ้าของเป็นแพทย์ ดูแลเด็กอย่างถูกหลักอนามัย[5] สมเด็จพระบรมราชชนนีจึงนำพระธิดาและพระโอรสไปฝากให้อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้ทรงเริ่มรับสั่งภาษาฝรั่งเศสได้

[แก้] การศึกษา

พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ปลายปี
พ.ศ. 2469 สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จพร้อมด้วยครอบครัวมหิดลไปยังนครบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสมเด็จพระบรมราชชนกทรงศึกษาวิชาการแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในขณะที่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงศึกษาด้านจิตวิทยา การทำอาหารและโภชนาการที่วิทยาลัยซิมมอนส์[5] ด้านสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงเข้าศึกษาในระดับอนุบาลที่โรงเรียนพาร์ก (Park School) หลังจากสมเด็จพระบรมราชชนกทรงสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์แล้ว พ.ศ. 2471 ทรงนำครอบครัวกลับประเทศไทย และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ก็ทรงเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนราชินี
ภายหลังสมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคตในปี
พ.ศ. 2472 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ยังประทับอยู่ในกรุงเทพฯ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 สมเด็จพระราชชนนีได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการที่จะทรงนำพระโอรสและพระธิดาไปประทับที่เมืองโลซาน รัฐโว ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงเข้าศึกษาที่ชองโซเลยอีกครั้งเป็นเวลา 2 เดือน เพื่อเรียนภาษาฝรั่งเศสเพิ่มเติม ต่อมาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จึงทรงย้ายมาเรียนที่โรงเรียนเมียร์มองต์ (Miremont) จนจบระดับประถมศึกษา หลังจากนั้นสมเด็จพระราชชนนีได้ย้ายไปประทับที่เมืองปุยยีซึ่งอยู่ติดกับโลซาน โดยพระราชทานนามสถานที่ประทับว่า “วิลล่าวัฒนา” สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสตรีชื่อ École Supérieure de Jeunes Filles de la Ville de Lausanne ณ ที่นั้น พระองค์ได้ทรงศึกษาภาษาเยอรมันและภาษาละตินด้วย ต่อมาทรงย้ายมาเรียนที่ International School of Geneva ณ กรุงเจนีวา ทรงสอบผ่านชั้นสูงสุดของระดับมัธยมศึกษาเป็นที่ 1 ของโรงเรียน และที่ 3 ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์


หลังจากนั้น พระองค์ทรงเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในสาขาวิชาเคมีที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลซาน ในระหว่างนั้น พระองค์ก็ทรงศึกษาหลักสูตรของสังคมศาสตร์ Diplôme de Sciences Sociales Pédagogiques อันประกอบด้วยวิชาต่าง ๆ ในสาขาวิชาการศึกษา วรรณคดี ปรัชญา และจิตวิทยาด้วย เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตร์สาขาเคมีซึ่งพระองค์ทรงได้รับ Diplôme de Chimiste A พระองค์ก็ยังทรงศึกษาวิชาวรรณคดีและปรัชญาต่อไปอีกด้วยความสนพระหฤทัย

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงฉายพร้อมท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดา และ ร้อยเอกจิทัศ ศรสงคราม พระนัดดา


เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรจึงได้อัญเชิญเสด็จพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันมหิดลขึ้นทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์พระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชโสทรเชษฐภคินีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จึงประกาศเฉลิมพระเกียรติยศขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478[7] [8]

ทรงอภิเษกสมรส

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงฉายภาพร่วมกับพันเอกอร่าม และพระธิดา
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงลาออกจาก
ฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเสกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ เพื่อสมรสกับพันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ เมื่อ พ.ศ. 2487[8] พระองค์มีพระธิดา คือ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม (สมรสกับนายสินธู ศรสงคราม มีบุตรชาย คือ คุณจิทัศ ศรสงคราม)
เมื่อ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จขึ้นครองราชย์ ด้วยทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงว่า พระพี่นางกัลยาณิวัฒนา ทรงเป็นพระโสทรเชษฐภคินีอันสนิทและทรงมีอุปการคุณแด่พระองค์ ดังนั้น จึงมีพระราชโองการดำรัสสั่ง ให้สถาปนาพระเจ้าพี่นางกัลยาณิวัฒนา กลับทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ตามเดิมทุกประการ


ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2512 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงเสกสมรสอีกครั้งกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช (พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัยและหม่อมระวี ไกยานนท์)

ทรงกรม


ในวโรกาสสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาทรงเจริญพระชนมายุครบ 6 รอบ ในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงเป็นพระโสทรเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึง 2 พระองค์ ด้วยทรงรับราชการสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์มาโดยลำดับ รวมทั้งทรงเป็นที่รักเทิดทูนของปวงชนชาวไทยทั่วไป จึงมีพระบรมราชโองการสถาปนาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งนับเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายในที่ได้รับการสถาปนาเป็นพระองค์แรกในรัชกาล โดยมีการพระราชพิธีสถาปนาพระอิสริยศักดิ์และบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองพระชนมายุ 6 รอบ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ภายในพระบรมมหาราชวัง


พระนามกรม "กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์" นั้น เป็นพระนามตามนามเมืองในภาคใต้ สืบเนื่องมาจากการที่พระราชโอรสและพระราชธิดาที่พระราชสมภพแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ล้วนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยศักดิ์ทรงกรมตามนามเมืองทางภาคใต้ทั้งสิ้น



สิ้นพระชนม์


ดูบทความหลักที่ การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน พระราชทานพระศพ


เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงมีพระอาการผิดปกติเกี่ยวกับพระนาภี (ท้อง) และได้เข้าประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทย์ได้ถวายการตรวจพระวรกายและเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจพบมะเร็งซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่พระถันที่ทรงเคยได้รับการถวายตรวจรักษาเมื่อ 10 ปีก่อน โดยช่วงเวลาหลังการถวายรักษาครั้งก่อนนั้น ทรงมีสุขภาพดี และในการถวายตรวจติดตามพระสุขภาพจึงได้ตรวจพบมะเร็งเกิดขึ้นใหม่เมื่อ 2 ปีก่อน นอกจากนี้ คณะแพทย์ได้ถวายตรวจพระสมองด้วยเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ พบว่า มีเนื้อสมองด้านซ้ายตายเป็นวงกว้าง จากเส้นเลือดสมองอุดตัน คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาพระอาการอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงพระประชวร ต่อเนื่องเรื่อยมา จากแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ถึงฉบับที่ 38 เป็นฉบับสุดท้าย เมื่อวันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 จนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551 พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 02.54 น. รวมพระชนมายุ 84 พรรษา

พระเมรุ ในถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์


หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี มีพระราชพิธีถวายสรงน้ำพระศพ ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานเชิญพระศพลงสู่หีบ ประดิษฐานหลังพระแท่นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระโกศทองใหญ่ ภายใต้เบญจปฎลเศวตฉัตร (เศวตฉัตร 5 ชั้น) ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง


ต่อมาในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน 7 วันถวายพระศพนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาพระเกียรติยศสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ โดยให้เจ้าพนักงานจัดสัปตปฎลเศวตฉัตร (เศวตฉัตร 7 ชั้น) กางกั้นพระโกศพระราชทาน


รัฐบาลไทยได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 15 วัน และให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจไว้ทุกข์ มีกำหนด 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการถวายความอาลัยในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ สำหรับการพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รัฐบาลกำหนดวันพระราชพิธีระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

---ศาสตราจารย์ พลเอกหญิง พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ประสูติ: 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ณ กรุงลอนดอน อังกฤษ สหราชอาณาจักร สิ้นพระชนม์: 2 มกราคม พ.ศ. 2551 เวลา 02.54 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร สิริพระชนมายุ 84 พรรษา) ทรงเป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (หม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา) และ ทรงเป็นสมเด็จพระเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช


---สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายแก่ประเทศชาติ เพื่อแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีโครงการในพระอุปถัมภ์หลายร้อยโครงการ ทั้งด้านการศึกษา การสังคมสงเคราะห์ การแพทย์ และ การสาธารณสุข การต่างประเทศ การศาสนา และอื่น ๆ ทั้งนี้พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการเขียน ด้านการกีฬา และ ด้านการถ่ายภาพ


---พระองค์ทรงมีพระอาการผิดปกติเกี่ยวกับพระนาภี (ท้อง) และได้เข้าประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช จนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551 พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 02.54 น. สิริพระชนมายุ 84 พรรษา

ลักษณะสำคัญของกฎหมาย

กฎหมายปัจจุบันจำต้องมีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้จึงจะชื่อว่าเป็น "กฎหมาย"


1. กฎหมายมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ กล่าวคือ ต้องเป็นข้อบังคับที่เป็นมาตรฐาน ใช้วัดและกำหนดความประพฤติของสมาชิกในสังคมได้ว่าถูกหรือผิด ทำได้หรือไม่ได้เป็นต้น เช่น ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ประชาชนสวมใส่ชุดดำเนื่องในการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไม่เป็นกฎหมาย เพราะไม่ใช่ข้อกำหนดที่บ่งบอกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ไม่อาจวัดเป็นมาตรฐานได้ว่าการแต่งชุดดำเช่นนั้นแล้วเป็นการถูกกฎหมาย การไม่แต่งผิดกฎหมาย และที่สำคัญ ประกาศนั้นเป็นแต่การเชิญชวน มิได้เป็นการบังคับ เป็นต้น


2. กฎหมายกำหนดความประพฤติของบุคคล กล่าวคือ กฎหมายควบคุมแต่ความประพฤติของบุคคลเท่านั้น มิได้ก้าวล่วงเข้าไปถึงจิตใจ จึงอาจกล่าวได้ว่าศาสนา ศีลธรรม และจารีตประเพณีควบคุมมนุษย์ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่ากฎหมาย และกฎหมายนั้นหยาบกว่าสิ่งเช่นว่า ทั้งนี้ ความประพฤติที่จะถูกควบคุมมีองค์ประกอบ ได้แก่ 1) มีการเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย และ 2) การเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวเช่นนั้นอยู่ภายในความควบคุมของจิตใจ กล่าวอีกชั้นคือ บุคคลรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่


3. กฎหมายมีสภาพบังคับ สภาพบังคับ (อังกฤษ: sanction) ของกฎหมายนั้นมีทั้งที่เป็นผลร้าย เช่น โทษทางอาญา และผลดี เช่น การลดภาษีเงินได้


สำหรับสภาพบังคับที่เป็นผลดีนั้น ในความจริงแล้วมนุษย์มิใช่จะปฏิบัติตามกฎหมายเพราะเกรงจะได้รับผลร้ายเท่านั้น แต่อาจเพราะมีแรงจูงใจด้วย เช่น บทบัญญัติในมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 ว่า "ผู้ได้รับการส่งเสริมจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรที่ได้จากการประกอบกิจการ..." เป็นต้น


4. กฎหมายมีกระบวนการอันเป็นกิจจะลักษณะ ในอดีต สำหรับการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายบางทีก็ใช้ระบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่สังคมสมัยใหม่ซึ่งมีการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ กล่าวคือ รัฐออกกฎหมายและรัฐเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย รัฐสมัยใหม่จะไม่ยอมให้มีการบังคับใช้กฎหมายโดยประชาชนเลย เพราะจะทำให้คนที่แข็งแรงกว่ากระทำเกินเลยต่อคนที่อ่อนแอกว่าได้ กับทั้งจะเกิดความวุ่นวายประการอื่น ๆ
กระบวนการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ รัฐกระทำผ่านองค์กรต่าง ๆ เช่น ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ ฯลฯ
อย่างไรก็ดี มีการเว้นให้ประชาชนบังคับใช้กฎหมายได้เองเป็นกรณีพิเศษ คือ 1) กรณีเพื่อการป้องกันตามกฎหมายอาญา เช่น การป้องกันตนเองจากภัยที่ใกล้จะถึง และการป้องกันนั้นไม่เกินกว่าเหตุ เป็นต้น และ 2) กรณีที่ได้รับนิรโทษกรรมตามกฎหมายแพ่ง เช่น กรณีเพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง หากไปแจ้งทางราชการจะไม่ทันท่วงที กรณีเช่นนี้บุคคลไม่ต้องใช้สินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็น
ต้น

องค์ประกอบของนิติกรรม

นิติกรรมสามารถแยกองค์ประกอบได้เป็น

1.องค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่


---บุคคล นิติกรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องมีบุคคลในการทำนิติกรรม ซึ่งบุคคลที่จะทำนิติกรรมนั้นต้องมีความรู้สำนึกในสิ่งที่ตนกระทำ และมีความสามารถในการทำนิติกรรมต่างๆ ได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ


---วัตถุประสงค์ การทำนิติกรรมย่อมมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางกฎหมายในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือ ระงับซึ่งสิทธิ (ป.พ.พ. ม.149)และวัตถุประสงค์ที่จะกระทำต้องไม่เป็นการพ้นวิสัยหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน (ป.พ.พ. ม.150)


---แบบ ในการทำนิติกรรมต้องกระทำด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะมีกฎหมายบังคับให้ทำ หรือเป็นวิธีการที่เกิดจากความสมัครใจของผู้ทำนิติกรรมก็ตาม ซึ่งแบบของนิติกรรมตามที่กฎหมายบังคับไว้แบ่งเป็น 5 ชนิด ดังนี้ 1.ส่งมอบทรัพย์ 2.ทำเป้นหนังสือ 3.จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน 4.ทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ 5.แบบพิเศษ


---เจตนา การทำนิติกรรมจะต้องเกิดจากเจตนาของผู้ทำนิติกรรม ที่สมัครใจให้เกิดผลทางกฎหมาย เจตนาถือเป็นองค์ประกอบภายใน แยกออกได้ 3ประการ คือ 1.เจตนาที่จะกระทำ หมายถึง เจตนาที่มุ่งถึงความประพฤติภายนอกของบุคคล ที่จะเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อให้บุคคลอื่นทราบถึงเจตนาที่ประสงค์จะแสดง 2.เจตนาที่จะแสดงออก หมายถึง ความรู้สึกภายในของผู้แสดงเจตนา และเจตนาที่จะแสดงออกนี้ย่อมมีอยุ่ เมื่อข้อความหรือการกระทำถูกต้องตรงกับเจตนาภายในจิตใจของบุคคล 3.เจตนาที่จะแสดงนิติกรรม หมายถึง เจตนาอันมุ่งโดยตรงเพื่อจะให้เกิดผลในกฎหมาย..

2.องค์ประกอบเสริม ได้แก่

---เงื่อนไข คือการนำเอาเหตุการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนในอนาคต มากำหนดเกี่ยวกับความเป็นผลหรือการสิ้นผลของนิติกรรม
---เงื่อนเวลา คือการนำเอาเวลาอันเป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่แน่นอน มากำหนดเกี่ยวกับความเป็นผลหรือสิ้นผลของนิติกรรม

นิติกรรม

ลักษณะของนิติกรรม

1.เป็นการกระทำการ การที่นิติกรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการกระทำของบุคคล

2.เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง สิ่งที่กระทำไปนั้นจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

3.ต้องทำโดยสมัครใจ บุคคลนั้นได้กระทำไปโดยความสมัครใจของตนเอง คือ มีเจตนาที่จะทำนั่นเอง

4.ต้องการก่อให้เกิดผลทางกฎหมาย กล่าวคือมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่จะก่อให้เกิดผลในทางกฎหมาย

5.เป็นผลผูกพันระหว่างบุคคล การทำนิติกรรม ความผูกพันทางกฎหมายย่อมเกิดระหว่างบุคคลเท่านั้น

6.ผลนั้นก็คือความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ คือ มีการ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ ซึ่งสิทธิต่างๆ --*

4/8/52

วัฒนธรรม

---วัฒนธรรมไทยได้รับเอาวัฒนธรรมอินเดีย จีน กัมพูชาและดินแดนบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาอย่างมาก พุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในประเทศไทย

---ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเอกลักษณ์และศรัทธาของไทยสมัยใหม่ ทำให้พุทธศาสนาในประเทศไทยได้มีการพัฒนาตามกาลเวลา ซึ่งรวมไปถึงการรวมเอาความเชื่อท้องถิ่นที่มาจากศาสนาฮินดู การถือผี และการบูชาบรรพบุรุษ ส่วนชาวมุสลิมอาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามามีส่วนสำคัญอยู่ในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและใกล้เคียง ซึ่งการปรับตัวเข้ากับสังคมไทยได้เป็นอย่างดี ทำให้กลุ่มชาวจีนได้มีตำแหน่งในอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง


---วัฒนธรรมไทยมีส่วนที่คล้ายคลึงกับวัฒนธรรมเอเชีย กล่าวคือ มีการให้ความเคารพแก่บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นการยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน ชาวไทยมักจะมีความเป็นเจ้าบ้านและความกรุณาอย่างดี แต่ก็มีความรู้สึกในการแบ่งแยกลำดับชั้นอย่างรุนแรงเช่นกัน ความอาวุโสเป็นแนวคิดที่สำคัญในวัฒนธรรมไทยอย่างหนึ่ง ผู้อาวุโสจะต้องปกครองดูแลครอบครัวของตนตามธรรมเนียม และน้องจะต้องเชื่อฟังพี่

----การทักทายตามประเพณีของไทย คือ การไหว้ ผู้น้อยมักจะเป็นผู้ทักทายก่อนเมื่อพบกัน และผู้ที่อาวุโสกว่าก็จะทักทายตอบในลักษณะที่คล้าย ๆ กัน สถานะและตำแหน่งทางสังคมก็มีส่วนต่อการตัดสินว่าผู้ใดควรจะไหว้อีกผู้หนึ่งก่อนเช่นกัน การไหว้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ในการให้ความเคารพและความนับถือแก่อีกผู้หนึ่ง
อาหารไทยเป็นการผสมผสานรสชาติความหวาน ความเผ็ด ความเปรี้ยว ความขมและความเค็ม ส่วนประกอบซึ่งมักจะใช้ในการปรุงอาหารไทย รวมไปถึง
กระเทียม พริก น้ำมะนาว และน้ำปลา และวัตถุดิบสำคัญของอาหารในประเทศไทย คือ ข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวหอมมะลิ ซึ่งมักจะใช้เป็นองค์ประกอบในอาหารเกือบทุกมื้อ ตามสถิติพบว่า ชาวไทยรับประทานข้าวขาวมากกว่า 100 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

Geography and Climate

Terrain

Geographic conditions of Thailand
Thailand is approximately 513,115 square kilometers. Representing the world's No. 51, when
Compare areas of Thailand.With other countries are as follows:
Myanmar Approximately 1.3 times larger.
Indonesia Approximately 3.7 times larger.
India Approximately 6.4 times larger.
Australia Approximately 15 times larger.
ChinaAndUnited States Approximately 19 times larger.
Russia Approximately 33 times larger.
Is close to
SpainMost

---Thailand has a variety of geographic conditions. The northern mountains includes many The highest point in Thailand isIn Doi, joy At 2,575 meters above sea level. Northeast is adjacent to the Korat plateau.Mekong River.Eastward Is the central plains.Chao Phraya River. The river flows into.Gulf of Thailand Southern is narrow at that point.Kho Khot Kra or Kra Isthmus Then a large expansion.Peninsular Malay In the public. Region has been split into 6 geographic regions because of differences in population Basic resources. Natural manner. And levels of social and economic development. And the different geographic regions have become the most important break in the physical characteristics of Thailand


---Chao Phraya River and Mekong River is an important source of agriculture. Industrial production of agricultural productivity will require the harvest from the river and two branches. Fill the Gulf of Thailand approximately 320,000 square kilometers. Chao Phraya River, which flows from theMae Klong river. Bagpakg River. AndRiver yearly. A source of attracting tourists. Enter shallow water because the coastline of southern and neck spot. Gulf of Thailand is a hub of industrial countries. Because the main ports inSATTAHIP And a door that leads to other ports in the Bangkok.Andaman Sea.A source of valuable resources that most of Thailand Because the resort, a popular high inAsia IncludingPhuket Krabi Province. Ranong Province. Phang Nga province. Trang Province. And islands along the coast of the Andaman Sea. The tourists often visit frequently.

Climate

---Thailand's climate is tropical. Or tropical pastures. Make a monsoon climate of tropical nearly year-round. Hottest weather in April and May.Summer It is raining and cloudy from the wind.StormSouthwest in mid-May to October.Rains In mid-November to March. Dry air and cold from the wind.StormNortheast.Winter Except the south which has a rainforest climate. Which is hot and humid throughout the year are just two season. With summer rains The volume of rain is not less than 62.2 mm.

***************************************************
ภูมิประเทศและภูมิอากาศ

ภูมิประเทศ

สภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย
ประเทศไทยมีขนาดประมาณ 513,115 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นอันดับที่ 51 ของโลก ซึ่งเมื่อ
เปรียบเทียบพื้นที่ของประเทศไทยกับประเทศอื่นจะได้ดังนี้
ประเทศพม่า ใหญ่กว่าประมาณ 1.3 เท่า
ประเทศอินโดนีเซีย ใหญ่กว่าประมาณ 3.7 เท่า
ประเทศอินเดีย ใหญ่กว่าประมาณ 6.4 เท่า
ประเทศออสเตรเลีย ใหญ่กว่าประมาณ 15 เท่า
ประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา ใหญ่กว่าประมาณ 19 เท่า
ประเทศรัสเซีย ใหญ่กว่าประมาณ 33 เท่า
มีขนาดใกล้เคียงกับ
ประเทศสเปนมากที่สุด


---ประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย ภาคเหนือประกอบด้วยเทือกเขาจำนวนมาก จุดที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท์ ณ 2,575 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ราบสูงโคราชติดกับแม่น้ำโขงทางด้านตะวันออก ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสายน้ำไหลลงสู่อ่าวไทย ภาคใต้มีจุดที่แคบลง ณ คอคอดกระ แล้วขยายใหญ่เป็นคาบสมุทรมลายู ซึ่งในทางรัฐกิจแล้ว ได้มีการจัดแบ่งภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ออกเป็น 6 ภูมิภาค เนื่องจากความแตกต่างทางประชากร ทรัพยากรพื้นฐาน ลักษณะทางธรรมชาติ และระดับของการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ และความแตกต่างของภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ได้กลายมาเป็นตัวแบ่งที่สำคัญที่สุดในลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย


---แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงถือเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศไทย การผลิตของอุตสาหกรรมการเกษตรจะต้องอาศัยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จากแม่น้ำทั้งสองและสาขาทั้งหลาย อ่าวไทยกินพื้นที่ประมาณ 320,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำตาปี ซึ่งเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากน้ำตื้นใสตามแนวชายฝั่งของภาคใต้และคอคอดกระ อ่าวไทยยังเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมของประเทศ เนื่องจากมีท่าเรือหลักในสัตหีบ และถือได้ว่าเป็นประตูที่จะนำไปสู่ท่าเรืออื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ส่วนทะเลอันดามันถือได้ว่าเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ามากที่สุดของไทย เนื่องจากมีรีสอร์ตที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในทวีปเอเชีย รวมไปถึงจังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดตรัง และหมู่เกาะตามแนวชายฝั่งของทะเลอันดามัน ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ

ภูมิอากาศ

---ภูมิอากาศของไทยเป็นแบบเขตร้อน หรือทุ่งหญ้าเมืองร้อน ทำให้อากาศของไทยเป็นแบบมรสุมเมืองร้อนเกือบตลอดทั้งปี อากาศร้อนที่สุดในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมเป็นฤดูร้อน โดยจะมีฝนตกและเมฆมากจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมเป็นฤดูฝน ส่วนในเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคม อากาศแห้งและหนาวเย็นจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเป็นฤดูหนาว ยกเว้นภาคใต้ซึ่งมีสภาพอากาศแบบป่าดงดิบ ซึ่งมีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปีจึงมีแค่สองฤดูคือ ฤดูร้อนกับฤดูฝน โดยมีปริมาณฝนไม่ต่ำกว่า 62.2 มิลลิเมตร

ประวัติศาสตร์ไทย

-----ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในอดีต พื้นที่ซึ่งเป็นประเทศไทยในปัจจุบันได้มีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่าเป็นต้นมา หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิขะแมร์ เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13[10] ทำให้มีรัฐเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาไม่นานนัก โดยตามตำนานโยนกได้บันทึกไว้ว่า มีการก่อตั้งอาณาจักรของคนไทยขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อราว พ.ศ. 1400[11]


-----ประวัติศาสตร์ไทยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ใน พ.ศ. 1781 ซึ่งตรงกับสมัยอาณาจักรสุโขทัย และสมัยรุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนา และอาณาจักรล้านช้าง จนกระทั่งอาณาจักรสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลงในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 และศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองได้ย้ายไปยังอาณาจักรทางใต้ คือ กรุงศรีอยุธยา แทน ครั้นเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สอง ใน พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสยามเป็นเวลานาน 15 ปี


-----ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2325 โดยพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี อาณาจักรสยามเริ่มมีความเป็นปึกแผ่น โดยได้มีการผนวกดินแดนบางส่วนของอาณาจักรล้านช้างเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ครั้นในรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการผนวกเอาเมืองเชียงใหม่ หรืออาณาจักรล้านนา อันเป็นการผนวกดินแดนครั้งใหญ่ครั้งสุดท้าย[ต้องการแหล่งอ้างอิง]


-----อาณาจักรสยามเป็นรัฐเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศใดเลย แต่สยามก็ได้รับอิทธิพลจากประเทศตะวันตกเข้าสู่ประเทศอย่างมาก และนำไปสู่การปฏิรูปประเทศในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด ได้แก่ การสูญเสียดินแดนขนาดใหญ่ให้แก่อังกฤษและฝรั่งเศส และดำรงตนเป็นรัฐกันชนระหว่างประเทศเจ้าอาณานิคมทั้งสอง รวมไปถึงการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ไทยเสียเปรียบอีกจำนวนหนึ่ง


-----ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร แต่เนื่องจากประเทศตะวันตกให้การยอมรับในขบวนการเสรีไทย ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม และภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ในช่วงสงครามเย็น


-----วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเป็นคนแรกเป็นผลมาจากการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2516 ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นเวลาแล้ว 41 ปี และระหว่างในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และได้มีการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหารผ่านการก่อรัฐประหารหลายสิบครั้ง[ต้องการแหล่งอ้างอิง] อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นมีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยอีกสองครั้งคือ เหตุการณ์ 6 ตุลา และ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ล่าสุดได้เกิดการก่อรัฐประหารขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นการยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการ หลังจากได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

ชื่อประเทศไทย
-----คำว่า ไทย มีความหมายในภาษาไทยว่า อิสรภาพ เสรีภาพ เดิมประเทศไทยเคยใช้ชื่อว่า สยาม แต่ได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อปัจจุบัน เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2482[12] ตามประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ 1 ของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้ใช้ชื่อ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติว่า "ไทย" โดยในช่วงต่อมาได้เปลี่ยนกลับเป็นสยามเมื่อปี พ.ศ. 2488 ในช่วงเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แต่ในที่สุดได้เปลี่ยนกลับมาชื่อไทยอีกครั้งในปี พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยต่อมา ช่วงแรกเปลี่ยนเฉพาะชื่อภาษาไทยเท่านั้น ชื่อในภาษาฝรั่งเศส[13] และภาษาอังกฤษคงยังเป็น "Siam" อยู่จนกระทั่งเดือนเมษายน พ.ศ. 2491 จึงได้เปลี่ยนชื่อภาษาฝรั่งเศสเป็น "Thaïlande" และภาษาอังกฤษเป็น "Thailand" อย่างในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ชื่อ สยาม ยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ

ประเทศไทย

-----ประเทศไทย หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรไทย เป็นรัฐที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนทางทิศตะวันออกติดกับประเทศลาวและประเทศกัมพูชา ทิศใต้ติดกับอ่าวไทยและประเทศมาเลเซีย ทิศตะวันตกติดกับทะเลอันดามันและประเทศพม่า และทิศเหนือติดกับประเทศพม่าและประเทศลาว มีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง โดยมีศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ


-----ในด้านภูมิศาสตร์และประชากรศาสตร์ ประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก มีเนื้อที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร[7] และมีประชากรมากเป็นอันดับ 21 ของโลก ประมาณ 64 ล้านคน ประกอบด้วยเชื้อสายไทยประมาณร้อยละ 75 ชาวจีนร้อยละ 14 และเชื้อชาติอื่น ๆ อีกร้อยละ 11[2]
ในด้านวัฒนธรรม ประเทศไทยมีภาษาราชการคือภาษาไทย ขณะที่ท้องถิ่นต่าง ๆ มีภาษาถิ่นเป็นหลากหลายภาษา อาทิ ภาษาถิ่นพายัพในภาคเหนือ ภาษาถิ่นอีสานในภาคอีสาน และภาษาถิ่นปักษ์ใต้ในภาคใต้ พลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทกว่าร้อยละ 95[8] โดยวัฒนธรรมหลักของไทยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดีย ประเทศจีน และประเทศทางตะวันตกประสมประสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่น


-----ในด้านการปกครองของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติว่าประเทศไทยมีการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข[1] ซึ่งในทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์เรียกระบอบการปกครองดังกล่าวว่าระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ[9] (constitutional monarchy)[2][3] ควบคู่ไปกับประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี และถือได้ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐที่นานที่สุดในโลกอีกด้วย ประเทศไทยนับได้ว่าเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตกเลย

1/8/52

15 วิธีง่ายๆหยุดโลกร้อน

1. วิธีเซฟค่าไฟในบ้านที่ฮิตฮอตที่สุดคือ เปลี่ยนหลอดไฟใหม่เป็นแบบประหยัด (หลอดตะเกียบ) ประหยัดไฟได้มากกว่าหลอดไฟธรรมดาถึง 3 – 5 เท่า แล้วยังใช้งานได้นานกว่าอีกต่างหาก



2. หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มแสงสว่างโดยไม่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น และควรทำอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปีนะคะ



3. เปิดหน้าต่างรับลมแทนการเปิดแอร์วิธีนี้ง่ายและคนไทยคุ้นเคยกันดีค่ะ แถมลมธรรมชาติยังปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศด้วยนะ (จริงไหมต้องสังเกตค่ะ)



4. ปิดคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ด้วยปุ่ม Off เท่านั้นที่เราต้องการ เพราะปุ่ม Stand by Power จะกินไฟในบ้านแบบไม่รู้ตัว 75 % (โอ้โห)



5. ตู้เย็นเปิดแล้วต้องปิดให้สนิท อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย และอย่านำของร้อนเข้าแช่ในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นทำงานเพิ่มขึ้น และกินไฟมากขึ้นตามไปด้วย



6. จากที่เคยซักผ้าทีละน้อยๆ และซักบ่อย เปลี่ยนมารวบรวมให้ได้กองโตพอสมควรก่อนค่อยซักทีเดียว อ้อ! แล้วไม่ต้องอบผ้าให้กินไฟและทำลายสิ่งแวดล้อมหรอกค่ะ บ้านเราแดดแรงดีอยู่แล้ว



7. ถึงจะเป็นยุคแห่งเทคโนโลยี แต่การจัดบ้านใหม่ให้สอดคล้องกับหลักธรรมชาติและทิศทางลม ไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีไฮเทคตลอดเวลา ช่วยกันปลูกต้นไม้ในบ้านก็ช่วยให้ร่มรื่นคลายร้อนไปได้มากแล้ว เรียกว่าการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย จะช่วยเซฟพลังงานในบ้านได้ถึง 40 % เชียวค่ะ



8. ปฏิเสธถุงพลาสติก เพราะถุงพลาสติกแต่ละใบต้องใช้เวลาถึงพันปีกว่าจะย่อยสลายหมดไปจากโลก แล้วหันมาพกถุงผ้าส่วนตั๊ว..... ส่วนตัว ไปช็อปปิ้งแทนจะดีกว่า



9. งานเลี้ยงสังสรรค์ หรือปิกนิกนอกบ้านหลีกเลี่ยงไม่ใช้จานและแก้วน้ำกระดาษเพราะสิ้นเปลืองพลังงานในการผลิต



10. จ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามือถือ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ต นอกจากจะประหยัดเวลากันเห็นๆ ยังช่วยกู้วิกฤติโลกร้อนได้อย่างมโหฬาร เพราะลดการตัดต้นไม้ไงค่ะ



11. ตอนล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวดและถูสบู่ตอนอาบน้ำ ไม่ควรเปิดให้น้ำไหลตลอดเวลา เพราะจะสูญเสียน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์ นาทีนึงก็หลายลิตรไม่เบานะ



12. ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเวลาล้างมือ เพราะสบู่ก้อนจะใช้เวลาล้างนานกว่า เปลืองน้ำกว่าแต่สบู่เหลวก็ต้องเป็นแบบที่ไม่เข้มข้นนะคะ เพราะจะได้ใช้น้ำน้อยกว่าด้วย



13. ยุคนี้โลกเรา World Wide มีทั้งโทรศัพท์ อีเมล์ อินเตอร์เน็ต จะติดต่อกันทั้งที ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้แทนการเดินทางด้วยตัวเอง ลดการใช้น้ำมัน และประหยัดเวลาไปได้เยอะค่ะ



14. Cae Pool ไปไหนมาไหนที่หมายเดียวกัน หรือทางผ่านใกล้เคียงกันก็จัดก๊วนรวมกลุ่มใช้รถคันเดียวกัน ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดมลพิษด้วยนะจ๊ะ



15. ไปซื้อของหรือไปธุระใกล้บ้านใกล้ออฟฟิศ ลองหันมาเดินหรือใช้จักรยานแทนบ้างก็ประหยัดพลังงาน และออกกำลังกายไปในตัว

15 วิธีง่ายๆหยุดโลกร้อน

1. วิธีเซฟค่าไฟในบ้านที่ฮิตฮอตที่สุดคือ เปลี่ยนหลอดไฟใหม่เป็นแบบประหยัด (หลอดตะเกียบ) ประหยัดไฟได้มากกว่าหลอดไฟธรรมดาถึง 3 – 5 เท่า แล้วยังใช้งานได้นานกว่าอีกต่างหาก

2. หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มแสงสว่างโดยไม่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น และควรทำอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปีนะคะ

3. เปิดหน้าต่างรับลมแทนการเปิดแอร์วิธีนี้ง่ายและคนไทยคุ้นเคยกันดีค่ะ แถมลมธรรมชาติยังปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศด้วยนะ (จริงไหมต้องสังเกตค่ะ)

4. ปิดคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ด้วยปุ่ม Off เท่านั้นที่เราต้องการ เพราะปุ่ม Stand by Power จะกินไฟในบ้านแบบไม่รู้ตัว 75 % (โอ้โห)

5. ตู้เย็นเปิดแล้วต้องปิดให้สนิท อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย และอย่านำของร้อนเข้าแช่ในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นทำงานเพิ่มขึ้น และกินไฟมากขึ้นตามไปด้วย

6. จากที่เคยซักผ้าทีละน้อยๆ และซักบ่อย เปลี่ยนมารวบรวมให้ได้กองโตพอสมควรก่อนค่อยซักทีเดียว อ้อ! แล้วไม่ต้องอบผ้าให้กินไฟและทำลายสิ่งแวดล้อมหรอกค่ะ บ้านเราแดดแรงดีอยู่แล้ว

7. ถึงจะเป็นยุคแห่งเทคโนโลยี แต่การจัดบ้านใหม่ให้สอดคล้องกับหลักธรรมชาติและทิศทางลม ไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีไฮเทคตลอดเวลา ช่วยกันปลูกต้นไม้ในบ้านก็ช่วยให้ร่มรื่นคลายร้อนไปได้มากแล้ว เรียกว่าการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย จะช่วยเซฟพลังงานในบ้านได้ถึง 40 % เชียวค่ะ

8. ปฏิเสธถุงพลาสติก เพราะถุงพลาสติกแต่ละใบต้องใช้เวลาถึงพันปีกว่าจะย่อยสลายหมดไปจากโลก แล้วหันมาพกถุงผ้าส่วนตั๊ว..... ส่วนตัว ไปช็อปปิ้งแทนจะดีกว่า

9. งานเลี้ยงสังสรรค์ หรือปิกนิกนอกบ้านหลีกเลี่ยงไม่ใช้จานและแก้วน้ำกระดาษเพราะสิ้นเปลืองพลังงานในการผลิต

10. จ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามือถือ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ต นอกจากจะประหยัดเวลากันเห็นๆ ยังช่วยกู้วิกฤติโลกร้อนได้อย่างมโหฬาร เพราะลดการตัดต้นไม้ไงค่ะ

11. ตอนล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวดและถูสบู่ตอนอาบน้ำ ไม่ควรเปิดให้น้ำไหลตลอดเวลา เพราะจะสูญเสียน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์ นาทีนึงก็หลายลิตรไม่เบานะ

12. ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเวลาล้างมือ เพราะสบู่ก้อนจะใช้เวลาล้างนานกว่า เปลืองน้ำกว่าแต่สบู่เหลวก็ต้องเป็นแบบที่ไม่เข้มข้นนะคะ เพราะจะได้ใช้น้ำน้อยกว่าด้วย

13. ยุคนี้โลกเรา World Wide มีทั้งโทรศัพท์ อีเมล์ อินเตอร์เน็ต จะติดต่อกันทั้งที ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้แทนการเดินทางด้วยตัวเอง ลดการใช้น้ำมัน และประหยัดเวลาไปได้เยอะค่ะ

14. Cae Pool ไปไหนมาไหนที่หมายเดียวกัน หรือทางผ่านใกล้เคียงกันก็จัดก๊วนรวมกลุ่มใช้รถคันเดียวกัน ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดมลพิษด้วยนะจ๊ะ

15. ไปซื้อของหรือไปธุระใกล้บ้านใกล้ออฟฟิศ ลองหันมาเดินหรือใช้จักรยานแทนบ้างก็ประหยัดพลังงาน และออกกำลังกายไปในตัว

PQ ความสมดุลระหว่างความสุขและความฉลาด

มีงานวิจัยพบว่าเด็กเรียนรู้ได้ดีต้องมีความรู้สึกผ่อนคลาย มีแรงจูงใจ และชอบกิจกรรมที่ทำ และมีความตื่นตัว องค์ประกอบเหล่านี้มีอยู่พร้อมมูลเมื่อเด็กเล่น ดังนั้น การเล่นจึงเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด นอกจากนี้แล้ว งานวิจัยทางสมองและการเรียนรู้ของเด็กยังชี้ชัดว่าขณะเด็กเล่น สมองของเด็กมีการทำงานมาก นั่นคือมีการกระตุ้น ทำให้เซลล์สมองมีการเชื่อมโยงกันมาก เป็นตัวบ่งชี้ความฉลาด ซึ่งหมายถึงศักยภาพของการเรียนรู้ของเด็ก ดังนั้น หากพ่อแม่ต้องการให้ลูกฉลาด จึงควรสนับสนุนการเล่นของลูก

นักวิชาการที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กได้เสนอ Play Quotient (PQ) เพื่อให้พ่อแม่และผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กตระหนักถึงความสำคัญของการเล่น โดย PQ หมายถึง ความฉลาดในการเล่น เด็กที่มี PQ ดี จะสามารถประยุกต์ใช้ประสบการณ์ส่วนตัว ความรู้ และจินตนาการผสมผสานกับการเล่นได้เป็นอย่างดี พ่อแม่จะสนับสนุน PQ ลูกได้อย่างไร .

1. สนับสนุนการเล่นและของเล่นที่หลากหลายตามวัย พ่อแม่ควรศึกษาของเล่นหรือรูปแบบการเล่นที่เหมาะกับวัยและพัฒนาการของเด็กให้หลากหลาย เพราะนั่นหมายถึงการเปิดโอกาสให้ลูกมีความฉลาดหลายด้าน และเป็นการเปิดโอกาสให้พ่อแม่ได้เรียนรู้ความถนัดหรือความสนใจของลูกด้วย

2. ให้เด็กเป็นผู้นำการเล่น พ่อแม่ไม่ควรมุ่งสอนหรือพยายามชี้นำเด็กมากเกินไป ควรให้เด็กได้คิด วางแผน และจินตนาการเอง แต่ควรช่วยขยายความต่อยอด และทำตามที่เด็กขอร้อง การทำเช่นนี้เด็กจะได้พัฒนาความสามารถในการเล่นและรู้จักคิดด้วยตนเอง เด็กจะรู้สึกสนุกและกระตือรือร้นมากขึ้น

3. พ่อแม่ให้ความสนใจลูกขณะเล่น โดยพ่อแม่อาจเล่นด้วยหรืออาจพากย์การเล่นของลูก บางครั้งเมื่อลูกเล่นดีๆ หรือน่าสนใจ พ่อแม่อาจเข้าไปชื่นชมโดยใช้เวลาเพียงช่วงสั้นๆ ก็ได้

4. ร่วมตื่นเต้นและสนุกกับลูก การที่พ่อแม่ร่วมสนุกกับลูกทำให้ลูกมีความสุขและเรียนรู้ที่จะแบ่งปันความสุขกับคนรอบข้างได้ นอกจากนี้ เด็กยังรู้สึกกับการเล่น รู้สึกดีกับตนเอง ความรู้สึกดีซึ่งกันและกันนี้ จะช่วยตอกย้ำความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่ลูกอีกด้วย

5. ชื่นชมในความคิดและการแก้ปัญหาลูก เด็กที่มีอายุมากกว่า ๒ ขวบ เด็กมักมีจิตนาการกว้างไกล ขณะเล่น มีความคิดที่พ่อแม่อาจคาดไม่ถึง จึงควรชื่นชมและช่วยต่อยอดความคิดให้ลูก หากลูกเกิดปัญหาควรกระตุ้นให้เด็กแก้ปัญหาเองหรือช่วยแต่เพียงเล็กน้อย และอย่าลืมที่จะชมเชยลูกด้วย แนวทาง ๕ ประเด็นข้างต้น น่าจะเป็นทางออกสำหรับพ่อแม่เพื่อพัฒนา PQ สำหรับลูกของตนเอง แต่หากยังไม่แน่ใจว่าเราในฐานะพ่อแม่ให้ความสำคัญและส่งเสริม PQ มากน้อยเพียงไร ลองสำรวจตนเองจากแบบประเมินท้ายบทความนี้นะครับ

..........................................................................................................

ภาคอังกฤษ

A researchFound that children learn better to have a relaxed feel motivated and like activities. And wakefulness These elements are all ready to play, so when the child is learning to play the best. In addition, Research on brain and learning of children also indicate that while children play. Children's brains are a lot of work. That is motivation. Cause the brain cells are connected. Is indicative of discernment This means that the learning potential of children so if parents want children smarter. Should support the child's play.Scholarly work related to the proposed Children Play Quotient (PQ) to parents and who works with children recognize the importance of playing by PQ means playback nimbleness in children with good PQ will apply. personal knowledge and experience combined with imagination to play well.Parents to support children PQ?

1 supports a variety of play toys and age. Parents should learn the form of toys or play with the right age for children's development and diversity. It means the opportunity for many children are smarter. And an opportunity for parents to learn about the bold or the interest of children.

2.The children lead the play.Parents should not look or try to teach too many children guide. Children should realize that planning and imagination. But it should help expand the cap And follow the child requests. This child will have developed the ability to think and play with themselves. Children will feel more enthusiastic and fun.

3 parents focus while playing ball.The parents may or may recite the play by play of the ball. Sometimes when a good or interesting features parents appreciate the visit may take only a short period.

4, together with fun and excitement.The parents enjoy their children together with children make happy and learn to share happiness with people around the child also has the feel of playing. Feel good with myself. Mutual good feelings. Will help reinforce the relationship between parents children.

5, admired the idea and solving customer problems. Children aged over 2 years old, children usually have mental นา while playing with the widespread idea that parents may be unexpected. Should be admired and thought to help balance the ball. If problems should stimulate children to own or help children solve problems but only slightly. And do not forget to mention children.

The above 5 ways. Will be a solution for parents to develop children's self-PQ. But if you're not sure we as parents to focus and enhance PQ much? Try the self-assessment survey appended to this article นะครับ.

บทความการศึกษา

การศึกษา คือการสร้างคนให้มีความรู้ ความสามารถมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นมีลักษณะนิสัยจิตใจที่ดีงาม มีความพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและสังคม มีความพร้อมที่จะ ประกอบการงานอาชีพได้ การศึกษาช่วยให้คนเจริญงอกงาม ทั้งทางปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสังคม การศึกษาจึงเป็นความจำเป็นของชีวิตอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากความจำเป็น ด้านที่อยู่อาศัย อาหารเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การศึกษาจึงเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เป็นปัจจัยที่จะช่วยแก้ปัญหาทุก ๆ ด้านของชีวิตและเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของชีวิตในโลกที่มีกระแสความเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และเท คโนโลยีอย่าง รวดเร็ว และส่งผลกระทบให้วิถีดำรงชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันการศึกษายิ่งมีบทบาทและความจำเป็น มากขึ้นด้วย การศึกษาที่จะช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี มีความสุข จะต้องมีลักษณะ ที่สำคัญดังนี้

1. เป็นการศึกษาที่ให้ความรู้ และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างเพียงพอ เช่น ความรู้และทักษะทางด้านภาษา การคิดคำนวณ ความเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นต้น สภาพปัจจุบันมีความจำเป็นต้องสนับสนุนให้ทุกคนได้รับการศึกษาขั้น พื้นฐานอย่างน้อย 12 ปี จึงจะเพียงพอกับความต้องการและความจำเป็นที่จะยกระดับ คุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

2. การศึกษาทำให้คนเป็นคนฉลาด เป็นคนมีเหตุผล คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น และ รู้จักวิธีแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง และเพื่อการงานอาชีพ

3. การศึกษาต้องสร้างนิสัยที่ดีงาม ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนโดยเฉพาะนิสัยรักการ เรียนรู้ และนิสัยอื่น ๆ เช่นความเป็นคนซื่อสัตย์ ขยัน อดทน รับผิดชอบ เป็นต้น

4. การศึกษาต้องสร้างความงอกงามทางร่างกาย มีสุขภาพพลามัยที่ดี รู้จัก รักษาตนให้แข็งแรง ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และสารพิษ

5. การศึกษาต้องทำให้ผู้เรียนไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นความสำคัญของประโยชน์ส่วนรวมให้ความร่วมมือกับผู้อื่นในสังคม อยู่รวมกับผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยสร้างสังคมที่สงบเป็นสุข รักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน

6. การศึกษาต้องทำให้คนมีทักษะการงานอาชีพที่เพียงพอกับการเข้าสู่การงานอาชีพ รู้จักการประกอบอาชีพและรู้จักพัฒนาการงานอาชีพ

ทั้ง 6 ประการ เป็นพื้นฐานทางการศึกษาที่จำเป็น ที่คนจะต้องได้รับรู้อย่างทั่วถึงทุกคน ถ้าทุกคนได้รับอย่างครบถ้วน เพียงพอก็จะทำให้เกิดทักษะลักษณะและนิสัยที่พึงประสงค์ได้ การศึกษาจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพียงสำหรับคนบางคน แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่ขาดความพร้อมในปัจจัยต่าง ๆ เพื่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ ยิ่งมีความ จำเป็นมากที่สุด

คนที่ขาดความพร้อมต้องการการศึกษามาก มักเป็นกลุ่มคนที่ถูกลืมตลอดเวลา การศึกษาที่ได้รับก็มักเป็นบริการที่กระท่อนกระแท่น ไม่เพียงพอกับการเรียนรู้ที่เหมาะสม ไม่พอแม้เพียงเพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย ตรงข้ามกับผู้ที่มีความพร้อมพอจะช่วยตนเองได้ กลับได้รับบริการที่มีคุณภาพและปริมาณที่ดีกว่ามาก ดังจะเห็นได้จากสถานศึกษาในเมืองกับในชนบท ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในทุก ๆ ด้าน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ การศึกษานอกจาก จะไม่สามารถสร้างความพร้อมที่เพียงพอกับผู้ต้องการแล้ว ยังส่งเสริมให้ช่องว่างระหว่าง คนรวยกับคนจนแตกต่างกันมากขึ้นด้วย

เพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์การศึกษาเสียใหม่ให้หันมาให้ความสำคัญกับคนยากจนคนเสียเปรียบ และคนด้อยโอกาสให้มากขึ้นทรัพยากรของรัฐต้องนำมาใช้จ่าย เพื่อปรับปรุงบริการการศึกษา สำหรับคนยากจนให้ดีขึ้นเป็นพิเศษ ให้เพียงพอกับการสร้างลักษณะสิสัยและความพร้อมที่จำเป็น ถ้าคนยากจน คนเสียเปรียบ คนด้อยโอกาสได้รับการศึกษาที่เหมาะสม และมีคุณภาพ แล้ว ปัญหาต่าง ๆ ในบ้านเมืองก็จะลดน้อยลงไปโดยปริยายและยังทำให้เขากลายเป็นกำลัง สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างดีด้วย

การศึกษานอกจากเป็นปัจจัยที่ 5 แล้ว ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต และเป็นปัจจัยเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติในอนาคตอีกด้วย เราจงฝากความหวังของชาติ ด้วยการพัฒนาการศึกษากันเถิด