16/3/53

กำจัดรอยคล้ำใต้ตา

กำจัดรอยคล้ำใต้ตา (Lisa)

วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ซ่อนรอยคล้ำใต้ตาไว้ โดยใช้คอนซีลเลอร์ก่อนลงรองพื้น คุณควรเลือกคอนซีลเลอร์เฉดสีที่อ่อนกว่าสีรองพื้นตามปกติของคุณ และควรใช้แต่น้อย

ส่วนวิธีการลดเลือนรอยคล้ำใต้ตานั้น คุณก็ควรใช้ครีมทาตาที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี่ คอลลาเจน อีลาสติน และวิตามินอี ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี่นั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผิวในวัยผู้ใหญ่ที่ผลัดเซลล์ผิวช้า เพราะจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ส่งผลให้สารบำรุงในครีมแทรกซึมเข้าไปในผิวได้มากขึ้น และถ้าคุณมีถุงใต้ตาร่วมด้วย ก็ควรใช้ถุงประคบเย็นวางไว้บนดวงตา เพื่อช่วยลดอาการบวม และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่มีรอยคล้ำ

แต่ถ้ารอยคล้ำใต้ตาของคุณเป็นแบบเรื้อรังไม่ยอมหาย หรือทำท่าว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น คุณก็อาจต้องไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นจริงเป็นจังกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการขัดลอกผิวด้วยสารเคมี หรือการทำทรีทเมนต์ด้วยแสงเลเซอร์ ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นผลที่ดีขึ้นได้อย่างชัดเจน แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและการตัดสินใจของแพทย์เท่านั้น

วิธีเผาผลาญ เมื่อกินเกินพิกัด

วิธีเผาผลาญเมื่อกินเกินพิกัด (สยามดารา)

การอยากมีหุ่นสวย หลายคนจึงระมัดระวังการรับประทานอาหารเป็นพิเศษ แต่หากในคืนปาร์ตี้ที่เผลอทานเยอะจนเกินพิกัดก็ไม่ต้องกังวล มีวิธีเผาผลาญไขมันมาฝาก

- ดื่มน้ำส้มคั้นสด มีวิตามินที่ช่วยดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ หากรับประทานเป็นผล จะมีเส้นใยธรรมชาติ ช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว

- ทานอาหารจำพวกธัญพืช (ชนิดไขมันต่ำ) อาจทานตอนเช้า (หากไม่มีเวลาทานข้าว) ธัญพืชเหล่านี้ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ระบบจะย่อยช้า ๆ เข้าสู่ร่างกาย ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน

- เคลื่อนไหวร่างกาย หลังเลิกงานอาจเรียกเหงื่อด้วยการเดินเล่น หรือวิ่ง หากมีเวลาอาจเล่นกีฬาที่ชอบสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง (การเคลื่อนไหวเร็ว ๆ จะเผาผลาญได้ 140 แคลอรีในครึ่งชั่วโมง)

- เคี้ยวอาหารช้าๆ เพราะการทานเร็ว จะทำให้ทานมากเกินอัตราโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารหลัง 6 โมงเย็น หรือช่วงเวลากลางคืน

- ทานผัก-ผลไม้ เพราะผักจะให้พลังงานน้อย แต่ให้สารอาหารมาก ส่วนผลไม้ เลือกทานที่ให้พลังงานต่ำ เช่น ฝรั่ง มะม่วง ชมพู่ แตงโม แคนตาลูป เลี่ยงผลไม้หวานจัด ให้พลังงานสูง

เคล็ดลับง่ายๆ ช่วยคุณ กำจัดไขมันส่วนเกินได้ หากปฏิบัติเป็นประจำ ก็ไม่ต้องกังวลมากนัก

รู้จักหั่นแครอท..ต้านมะเร็ง

ว่ากันว่า “แครอท” มีสารต้านมะเร็งอยู่ในตัวของมัน แต่ว่าถ้าหากเราไม่รู้จักวิธีที่จะนำมารับประทานให้ถูกต้อง แครอทก็ไม่แตกต่างจากผักอื่นๆ ค่ะ

ล่าสุดมีรายงานข่าวบอกว่า นักวิจัยแนะนำอย่าหั่นแครอทเป็นชิ้นๆ ก่อนปรุงอาหาร เพราะจะสูญเสียประสิทธิภาพของสารต้านมะเร็งที่อยู่ในแครอท

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล พบว่า หากนำแครอทมาต้มก่อนหั่นเป็นชิ้น แครอทจะมีสาร “ฟอลคารินอล” ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง มากกว่าหั่นเป็นชิ้นก่อนนำไปต้มถึง 25% สารฟอลคารินอลมีประโยชน์ในการต้านเซลล์มะเร็ง เพราะจากการทดลองกับหนูที่ให้กินสารชนิดนี้พบว่ามีพัฒนาการของเนื้อร้ายลดลง ซึ่งผลการศึกษาจะเสนอต่อที่ประชุมโภชนาการและสุขภาพที่ประเทศฝรั่งเศส

ดร.เคอร์สเทน แบรนด์ท หัวหน้านักวิจัยจากคณะเกษตร อาหารและการพัฒนาท้องถิ่นของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล กล่าวว่า การหั่นแครอทเป็นชิ้นเพิ่มพื้นที่ผิว ซึ่งจะทำให้สารอาหารถูกกรองทิ้งลงไปรวมกับน้ำในขณะประกอบอาหาร แต่ถ้าต้องการให้สารอาหารเหล่านี้ยังคงมีอยู่อย่างเต็มที่ ก็จะต้องหั่นเป็นชิ้นหลังปรุงเสร็จแล้ว

นักวิจัยระบุว่า หนูทดลองที่กินอาหารซึ่งประกอบด้วยแครอท หรือสาร “ฟอลคารินอล” จะมีโอกาสน้อยลงถึง 30% ที่เนื้อร้ายจะพัฒนาเป็นมะเร็งอย่างเต็มที่

นักวิจัยบอกด้วยว่า แครอทเมื่อถูกทำให้ร้อน ความร้อนจะฆ่าเซลล์ ทำให้สูญเสียความสามารถที่จะเก็บน้ำไว้ภายใน แต่สาร “ฟอลคารินอล” จะมีความเข้มข้นขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความร้อนทำให้ผนังเซลล์แครอทอ่อนนุ่ม ทำให้สารอาหารที่สามารถละลายได้ในน้ำ เช่น น้ำตาลและวิตามินซีสูญเสียไปทางพื้นผิวของเนื้อเยื่อ เช่นเดียวกับ “ฟอลคารินอล” ก็จะถูกกรองทิ้งออกไปด้วย และถ้าเราหั่นแครอทก่อนนำมาประกอบอาหารก็จะยิ่งเพิ่มพื้นที่หน้าตัดของเนื้อเยื่อ การสูญเสียสารอาหารก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น

ประโยชน์และโทษของชา

ประโยชน์และโทษของ ชา (ข่าวสด)
เครื่องดื่มชามีมานานกว่า 4,700 ปี นอกจากดื่มแก้กระหาย แก้ง่วง ยังช่วยต้านโรคที่เกิดจากอนุมูลอิสระ เราจะดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ คอลัมน์ “สวยอย่างฉลาด” นิตยสาร “ฉลาดซื้อ” ฉบับล่าสุด มีคำแนะนำ

1. ชาร้อนๆ จะทำให้สารที่เป็นประโยชน์ คือ “คาเทคชินส์” ถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น

2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี แต่หากผ่านการทำให้ร้อนปริมาณสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายเช่นกัน

3. ชาร้อน หรือชาเย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

4. ผู้รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

5. โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญคือ “แทนนิน” จะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ จากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมของสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จึงมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชาไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ขาดสารอาหาร

6. ใบชายังมีองค์ประกอบที่ให้โทษต่อร่างกายที่ยังไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง คือ มีฟลูออไรด์ในปริมาณค่อนข้างสูง ทำให้เกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน โรคข้อ และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับกระดูก แต่ถ้าดื่มไม่มากก็ไม่ต้องกังวล

7. ใบชามีสารที่ชื่อว่า “ออกซาเลท” แม้จะมีอยู่น้อย แต่หากดื่มชามากๆ และดื่มบ่อยๆ เป็นประจำ สารนี้จะสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อไต

8. ใบชามีสารกาเฟอีนสูง อาจสูงกว่ากาแฟด้วยซ้ำ เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากชาจะป้องกันหรือลดการดูดซึมของกาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมาก

เพราะฉะนั้น เราจึงควรดื่มชาในปริมาณพอดีๆ

ประโยชน์ของการดื่มชา

การดื่มชาเป็นประจำทุกวันนั้น ให้ประโยชน์กับร่างกายอย่างไรบ้าง แต่แอบกระซิบไว้ก่อนว่า ไม่ธรรมดาเลยแหละ

1. ประโยชน์ประการแรกของการดื่มน้ำชาเป็นประจำคือ เราจะได้รับสารคาเฟอีนจากใบชา ซึ่งสามรคาเฟอีนนี้จะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขยายหลอดเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ป้องกันโรคหัวใจตีบตัน บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก รักษาโรคหวัดและอาการปวดหัวได้

2. นอกจากสารคาเฟอีนแล้ว ในใบชาก็ยังมีสารโพลิฟินอล (Polyphenol) คาร์โบไฮเดรท และกรดอะมิโน เมื่อสารเหล่านี้ทำปฏิกิริยากับน้ำลาย ก็จะช่วยกระจายความร้อนในร่างกายออกไปพร้อมๆ กับขับสารพิษในร่างกายออกไปด้วย ส่วนสารอะโรมาติคก็จะช่วยระงับกลิ่นปาก และป้องกันฟันผุได้ด้วย

3. ช่วยฆ่าเชื้อโรค ลดอาการอักเสบ และช่วยสมานแผล ตามตำรายาจีนยังบันทึกไว้ว่า น้ำชาชงแก่ๆ 1 ถ้วย ช่วยรักษาโรคบิดได้เป็นอย่างดี

4. ในชาเขียวมีวิตามินซี วิตามินบีคอมเพล็กซ์ กรดเพนโทเทนิค และวิตามินพี ช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ไม่เปราะ ไม่แข็งตัวง่าย นอกจากนั้นก็ยังมีกรด Pantothenic ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่น ลดอาการอักเสบ และอาการของโรคปอดบวม ที่สำคัญการดื่มขาเขียวเป็นประจำ สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในกระเพาะอาหาร

5. ส่วนชาฝรั่งนั้น มีวิตามินเคอยู่มาก

6. ชาอูหลง สามารถช่วยลดความอ้วนและอาการท้องผูก โดยจะช่วยละลายไขมันและช่วยในการย่อยอาหารและลดประจุในปัสสาวะ