27/12/52

หอไอเฟล


หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, ตูร์แอฟแฟล; อังกฤษ: Eiffel Tower) หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย

หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลมีความสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) (รวมเสาอากาศสูง 24 เมตร (79 ฟุต)) ซึ่งก็สูงเท่ากับตึก 81 ชั้น

เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่สุดในกรุงปารีส ซึ่งอันดับสองคือหอมงต์ปาร์นาสส์ (Tour Montparnasse - 210 เมตร หรือ 689 ฟุต) ซึ่งในไม่ช้าจะถูกแทนที่โดยหออาอิกซ์อา (Tour AXA - 225.11 เมตร หรือ 738.36 ฟุต)

17/12/52

:::::: เคี้ยวนาน ฉลาดมาก ::::::

เชื่อหรือไม่การเคี้ยวมากๆจะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น
นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้"

หลังจากนั้นก็มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ 100 ทีแล้ว ปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา 1 สัปดาห์

การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND) และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา


ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย การขบคิดและสมาธิ

ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลอง จำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้ ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหาร

การเคี้ยวอาหาร 30 ที ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ

การเคี้ยวอาหาร 50 ที จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหาร นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

การเคี้ยวอาหาร 100 ที ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่างๆ อย่างสงบเยือกเย็น กินน้อยแต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย

การเคี้ยวอาหาร 200 ที ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น

:::::: ทำไมยาคูลท์ถึงมีแต่ขนาด 80 cc. ::::::

หลายคนสงสัยไหมว่าทำไมยาคูลท์ถึงไม่มีขวดใหญ่เลย เพราะคนที่ทานเยอะ เมื่อดื่มแล้วไม่อิ่ม...จริงไหม .....

ทุกเย็นหลังเลิกงาน จะมีสาวยาคูลท์นำยาคูลท์มาส่งให้กับพนักงานออฟฟิตทุกวันเป็นเรื่องปกติ แต่แล้วมองไปที่ขวดยาคูลท์ เอ..ทำไมยาคูลท์ถึงมีแต่ขวดเล็ก ไม่มีขวดใหญ่ให้ลูกค้าเลือกซื้อ ???...


ยาคูลท์ (Yakult) เป็นเครื่องดื่มคล้ายโยเกิร์ตชนิดหนึ่ง ถูกคิดค้นโดย ศาสตราจารย์ชิโระตะ มิโนะรุ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต เกิดจากกระบวนการหมักของนมพร่องมันกับน้ำตาลและแบคทีเรียแลกโตบาซิลลัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบในระบบดูดซึมอาหารของมนุษย์ ซึ่งส่งผลช่วยให้ระบบในร่างกายของมนุษย์ทำงานได้ดีขึ้น ชื่อของยาคูลท์มาจากภาษาเอสเปรันโต คำว่า Jahurto ซึ่งหมายถึงโยเกิร์ต นั่นเอง


โดยปกติธรรมชาติแล้ว จุลินทรีย์ชนิดนี้มีอยู่แล้วตามทางเดินอาหารของคนเรา และเป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ ช่วยทำให้เกิดกระบวนการย่อย และหมักในทางเดินอาหารในส่วนที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถจะย่อยได้ จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะคอยช่วยเหลือ แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อเราได้เช่นเดียวกัน คืออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เพราะจุลินทรีย์ผลิตกรดขึ้นมา ซึ่งเป็นผลทำให้ยาคูลท์ผลิตขนาดเดียว คือ 80 ซีซี ที่พอเหมาะกับปริมาณของเชื้อแลคโตบาซิลลัส โดยจะสังเกตข้างขวดที่เขียนไว้ว่า มีปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัส 8.0x10 ( ยกกำลัง 9 )


ถ้าทำยาคูลท์ให้มีขนาดขวดใหญ่พอ ๆ กับยาคูทล์ 6 ขวดเล็กรวมกันแล้วละก็ คงไม่ดีต่อผู้บริโภคแน่ เพราะจะทำให้ได้รับปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัสมากเกินพอ หรือถ้าจะทำขนาด 450 ซีซี ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ลดปริมาณแลคโตบาซิลลัสลงอาจจะทำได้ แต่เชื่อแน่ว่ารสชาติของยาคูลท์อาจจะเปลี่ยนไปไม่อร่อยเหมือนเคย


และถ้าหากเราทานยาคูลท์วันละ 6 ขวด เพื่อความอร่อยแต่อาจเกิดโทษขึ้นได้ ทานวันล่ะขวดก็เพียงพอแล้ว คนที่ไม่ทานเลยก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าในร่างกายของเรามีจุลินทรีย์ชนิดนี้อยู่เรียบร้อยแล้ว อีกเรื่องที่ควรสังเกต เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่บริโภคยาคูลท์ก็คือ อย่าลืมดูวันหมดอายุข้างขาดและเลือกซื้อจากตู้แช่ที่เก็บไว้ใน อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้ได้จุลินทรีย์ที่พร้อมจะทำงานให้เราได้ทันที และถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติมถามสาวยาคูลท์ได้เลยนะคะ

ข้อมูล
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B9%8C
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tenshi-neko&month=07-2007&date=23&group=1&gblog=120
http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20071015094707AABct9W

:::::: ชื่อภาษาอังกฤษตัวสุดท้ายก็มีความหมายนะ!!! ::::::

อักษรตัวท้ายสุดในชื่อภาษาอังกฤษของคุณคืออะไร ลองมาดูคำทำนายต่อไปนี้ ที่จาระไนลักษณะนิสัยของคุณเอาไว้ ทดสอบมาแล้วกับตัวเองและคนใกล้ตัวว่าแม่นใช้ได้ แต่กับคุณไม่รู้ มาลองดูเองละกัน

A / J / S
เป็นคนหลงใหลในอิสระเสรีภาพมาก ไม่ใช่เก็บตัว ทั้งยังชอบการแสดงออกเสียจนดูฟุ่มเฟื่อย สำหรับการทำงาน ชอบทำงานที่ได้เป็นเจ้านายตัวเอง ทั้งนี้เพราะว่าเป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดของตนเป็นอย่างยิ่งโดยไม่เปลี่ยนแปลงง่าย ๆ และไม่ยอมประนีประนอมใด ๆ เลย แต่ก็เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อความต้องการของตน ทั้งยังเป็นคนมีอารมณ์ขัน และจริงใจต่อทุกคนที่เป็นเพื่อน

B / K / T
อุปนิสัยมักเป็นคนที่เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่จึงมักหวั่นไหวปรวนแปรได้โดยง่าย ตามกระแสความต้องการ ของคนส่วนใหญ่ หรือบุคคลที่มีอิทธิพลเหนือกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนอ่อนไหวง่าย ขี้สงสาร รวมไปถึงการชอบสงสารและเข้าข้างตัวเองอีกด้วย ทั้งยังไม่ใช่คนที่มีความอดทนต่อสิ่งใด ๆ เลย และมักมี
ความฝังใจกับเรื่องร้าย ๆ ในอดีต

C / L / U
เป็นคนที่อยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยได้ มักจะกระตือรืนร้นสนอกสนใจเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่เสมอ แต่จะสนใจอะไรได้ ไม่ค่อยนาน และมักทำงานไม่ค่อยสำเร็จหากไม่มีคนช่วย ทั้งนี้เพราะมีความเป็นนักทฤษฎีมากกว่านักปฏิบัติ และยังเป็นคนที่ชอบการแสดงออกโดยเฉพาะในเรื่องความคิดจะให้ความสนใจในตัวบุคคลที่มีความสามารถเก่งการจจนเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง และชื่นชอบกับการติดต่อพบปะผู้คน

D / M / V
เป็นคนที่มีความเข้มแข็งและอดทนที่โดดเด่นมาก ชอบทำตัวง่าย ๆ ติดดินและไม่เป็นปัญหาสำหรับใคร
มักจะเป็นที่พี่งพาของคนใกล้ชิด เป็นผู้ให้ที่ดีสำหรับคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงจัง แต่จะไม่มีความอดทนกับคนที่เอาแต่งอมืองอเท้าไม่ทำอะไร นอกจากเอาแต่ร้องขอทั้งยังให้ความสำคัญกับการทำงานและสิ่งอันเป็นสาระต่อชีวิต นอกจากนี้ยังเป็นคนที่รักความซื่อสัตย์มากที่จะทำทุกอย่างตรงไปตรงมา

E / N / W
เป็นคนชอบความทันสมัยมาก และมักจะทนกฎเกณฑ์เก่า ๆ ที่เห็นว่าคร่ำครึสำหรับตนไม่ได้เลย ทั้งยังเป็น คนชอบการเปลี่ยนแปลง จะไม่มีวันยอมยึดมั่นหรือเข้มงวดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้และยังไม่ใช่คนที่มีระเบียบแบบแผนอะไรมากนัก ความคิดก็มักจะขัดแย้งกับคนทั่วไป ออกจะดูดื้อรั้นในสายตาคนรอบข้าง

F / O / X
เป็นผู้ที่มีความอ่อนโยน โอบอ้อมอารีและมักมีเสน่ห์ต่อคนใกล้ตัวเสมอทั้งยังเป็นคนที่นิยมในสิ่งที่สวยงา
มอ่อนหวานจึงมักจะหมดเปลืองเวลาไปกับการสรรหาสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ให้ตนเองโดยเฉพาะใน
เรื่องการแต่งตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจมีความสุขมากทั้งยังนิยมชมชอบให้คนรอบข้างได้สัมผัสใกล้ชิดกับสิ่งสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศิลปะหรือข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ

G / P / Y
มักเป็นคนที่นิยมในความจริงที่ตรงไปตรงมาและชัดเจน ชอบทำงานที่มีเหตุผลจริงจัง ทั้งยังเป็นคนที่มี ความละเอียดถี่ถ้วนมากในหน้าที่ที่รับผิดชอบ นอกจากนี้ยังเป็นคนเปิดเผย ใจร้อนชอบแสดงออก กล้าคิดกล้าทำ แต่ไม่ใช่นักพูดที่ดีนัก เป็นคนที่มีความโดดเด่นในตัวเองโดยธรรมชาติ เป็นคนชอบแต่งตัวและมีรสนิยมที่ดีในการเลือกข้าวของเครื่องใช้ให้กับตนโดยไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป

H / Q / Z
ไม่มีความเร่งร้อนบุ่มบ่ามในการกระทำใด ๆ ทั้งสิ้น การคิดการตัดสินใจค่อนข้างล่าช้าแต่สุขุมรอบคอบ และผ่านการวางแผนที่ดี ไม่ชอบชีวิตเสี่ยงภัยและไร้ความมั่นคง ทั้งยังเป็นคนที่เคร่งครัดต่อระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคมเป็นอย่างยิ่ง ค่อนข้างจะปิดกั้นตัวเองต่อความสนุกสนานในความคิดของคนทั่วไป รักความสงบ และรักการใช้ชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีคนเข้ามาวุ่นวาย

I / R
มีความมานะพยายามสูง และมองคนในแง่ดี ไม่มีอคติหรือคิดร้ายกับใครทั้งสิ้น แต่ในขณะเดียวกันเป็นคนที่ มีความเป็นตัวของตัวเองมาก ชัดเจนและตรงไปตรงมากับความชอบหรือไม่ชอบของตน ไม่มีลักษณะของคนที่ลังเล หรือตัดสินใจไม่ได้ให้เห็นเลย จะดูเป็นคนดันทุรังอยู่สักหน่อยกับสิ่งที่ตนคิดและเชื่อที่จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทั้งยังมีหลักการและเหตุผลสำหรับการกระทำของตัวเองเสมอ.

:::::: ความรู้รอบตัวแบบที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน ::::::

1.ยุงบินด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง...

2.ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง...

3.เส้นผมคนรับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม...

4.เสียงกรนที่ดังที่สุดดังถึง 87.5 เดซิเบลล์

5.พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ถ้าจะนำมาออกรายการต้องซื้อลิขสิทธิก่อน...

6.เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์...

7.หอเอนเมืองปิซาเอนไปทางใต้...

8.กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต...

9.ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย...

10.ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว...

11.เราไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้...

12.ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน...

13.ฮิปโปผายลมทางปาก...

14.ประเทศซาอุดิอราเบียไม่มีแม่น้ำ...

15.กังหันทั้งโลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์...

16.เด็กนักเรียนอายุ15 ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับเข้าคุกถ้า"โกงข้อสอบ"...

17.ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา...

18.ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน...

19.ตัว"โอ"เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ...

20.คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที

21.ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้...

22.เม่นชอบช่วยตัวเอง...

23.ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย...

24.ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่...

25.เจ้าฟ้าชายชาลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม...

26.คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด...

27.ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1000 คน

28.เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที

29.มันเปนไปมะได้อ่ะคับ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา

30.เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว

31.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed

32.กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น

33.แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ - โพดำกษัตริย์เดวิด - ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช - โพหัวใจ ชาร์ล เลอ มาญ - ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์

34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้า และม้ายกสองขาขึ้นบนอากาศแปลว่าคนนั้นตายในสงคราม

35.ถ้าม้ายกขาข้าเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงคราม และตายจากการบาดเจ็บนั้น

36.ถ้าทั้งสี่ขาของม้าอยู่บนพื้น แสดงว่าตายโดยธรรมชาติ

37.ใน 4000 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสัตว์ชนิดใหม่ๆที่ถูกทำให้เชื่อง

38.เชคสเปียร์ เป็นคนคิดค้นคำว่า assassination (การลอบฆ่า) และ bump (ชน กระทบ)

39.หัวใจมนุษย์สร้างความดันเพียงพอที่จะปั๊มเลือดออกจากร่างกายไป 30 ฟุต

40. หนูสามารถสืบพันธ์ได้เร็มาก ใน 18 เดือน หนูสองตัวจะสามารถมีทายาทมากกว่าล้านตัว

41.การใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียว ทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น700 เท่าตัว

42.ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา

43.เหมือนกับลายนิ้วมือ....ลายลิ้นทุกคนต่างกัน

44.นิตยสาร time ได้ยกย่องให้คอมพิวเตอร์เป็นบุคคลแห่งปีในปีค.ศ.1982

45.สถิติจูบนานที่สุดในโลกเป็นของหลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปีกับแฟนหนุ่ม ริชแลงเลย์ วัย 22 ปีพวกเขาทำสถิติไว้ที่ 30.59.27 ชม.

46.ตอนที่ f4 ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือบ100 คน ต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม 2

47.บริษัทผู้ผลิตยาสีฟันดาร์ลี่เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่ผลิตยาสีฟันคอลเกต

48.โดนั ลด์ ดักส์ ถูกแบนในประเทศฟินแลนด์ เพราะมันไม่ได้สวมกางเกงใน

49.ภาพยนต์เรื่อง nothing hill จ่ายค่าตัวจูเลีย โรเบิร์ต 15ล้านเหรียญ ( 660 ล้านบาท ) ในขณะที่พระเอกอย่างฮิว แกรนจ์รับค่าตัวเพียง 1 ล้านเหรียญ ( 45 ล้านบาท)

50.หนังอนิเมชันเรื่อง SouthPark ได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นหนังอนิเมชั่น เรื่องยาวที่หยาบคายที่สุดในโลกสถิติบันทึกไว้ว่า มีการใช้คำหยาบ 399 คำ พฤติกรรมรุนแรง 221 ครั้ง และแสดงท่าทางหยาบคาย 128 ครั้ง

51.ขนมทอดกรอบตรา ปูไทย ระบุว่าไม่มีส่วนผสมของเนื้อปู

52.ในน้ำทะเล 100 ตัน จะมีทองคำอยู่ประมาณ 4 กรัม

53.จำนวนแถวของข้าวโพดในแต่ละฝักจะเป็นเลขคู่

54.จิงโจ้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่เดินถอยหลังไม่ได้

57.ยุงชอบเลือดเด็กมากกว่าเลือดผู้ใหญ่

58.แมงมุมทอดรสชาติเหมือนถั่ว

59.ฟันของแมลงสาบอยู่ในท้อง

60.เม่นทุกตัวลอยน้ำได้

61.หมู มีโอกาสเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง

62.นอกจากมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกและจิงโจ้ต่างก็จูบเป็น ส่วนลิงชิมแปนซีนั้นจูบแบบ "เฟรนช์คิส" ได้ด้วย

63.คนถนัดขวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนถนัดซ้ายถึง 9 ปี

64.Hippopotomonstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัวคำอ่านยาวๆ

65.ผู้ที่เกิดเดือนมกราคม - มีนาคม มีแนวโน้มเป็นโรคจิตและโรคคลั่งมากกว่าเดือนอื่นๆ

66.แก้วไม่ได้เป็นของเเข็ง เเต่เปนของเหลว

67.สมองคนเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักของร่างกาย แต่ใช้เลือดไปเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมด

68.เลือดของกุ้งมังกรเปนสีน้ำเงิน

69.อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา

70.รู้หรือเปล่าว่าเว็บgoogleไม่ได้มีประโยชน์แค่หาข้อมูล แต่เป็นเครื่องคิดเลขได้ (ลองใส่ 5+2 หรือเลขอะไรก้อได้ในช่อง แล้วกด Search ดูจิ)

7/12/52

ทำไมต้องเรียกฮอตดอก




ฮอตดอก แปลตามตัวว่า "หมาร้อน"
แต่ไส้กรอกประกบด้วยขนมปังที่เรียกว่าฮอตดอกนั้น
ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหมา
และไม่ได้เป็นอาหารที่คนอเมริกันคิดค้นขึ้นมาอย่างที่เรามักจะเข้าใจ


ประวัติของฮอตดอกเริ่มตั้งแต่สมัยบาบิโลเนียเมื่อ ๓,๕๐๐ ปีที่แล้ว
มีลักษณะเป็นเนื้อหมักเครื่องเทศ ยัดไว้ในไส้สัตว์
ชาวโรมันเรียกอาหารประเภทนี้ว่า Salsus
ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคำว่า Sausage หรือไส้กรอกในภาษาอังกฤษนั่นเอง


ในสมัยยุคกลาง เมืองต่าง ๆ ในยุโรปได้พัฒนาสูตร รสชาติ
และรูปร่างของไส้กรอกของตนเอง
และตั้งชื่อไส้กรอกตามชื่อเมืองที่เป็นถิ่นกำเนิด เช่น ไส้กรอกเวียนนา เป็นต้น


ไส้กรอกของประเทศแถบเมดิเตอเรเนียนจะมีลักษณะแข็งและแห้ง
เพื่อไม่ให้ไส้กรอกบูดเสียได้ง่ายในอากาศร้อนแถบนั้น
ส่วนไส้กรอกของสก็อตแลนด์นิยมยัดไส้ด้วยข้าวโอ๊ต มากกว่าจะใช้เนื้อหมูหรือเนื้อวัว


ไส้กรอกที่เป็นที่นิยมกันมากที่สุดประเภทหนึ่งในเยอรมนี
คิดค้นขึ้นโดยชาวเมืองแฟรงเฟิร์ต จึงมีชื่อเรียกว่าแฟรงเฟอเตอร์
หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แฟรงค์ มีขนาดหนา นุ่ม
ใส่เครื่องเทศและรมควันอย่างดีมีรูปร่างโค้งเล็กน้อย คล้ายรูปร่างของสุนัขดัชชุนด์
จนบางคนเรียกไส้กรอกประเภทนี้ว่า ไส้กรอกดัชชุนด์
เล่ากันว่าผู้คิดไส้กรอกประเภทนี้เลี้ยงสุนัขดัชชุนด์ไว้หนึ่งตัว จึงเกิดความคิคว่า
ไส้กรอกที่มีรูปร่างเหมือนสุนัขตัวโปรดนี้จะเป็นที่นิยมของตลาดด้วย


ชาวยุโรปที่อพยพไปสหรัฐอเมริกา ได้นำไส้กรอกแฟรงเฟอเตอร์ไปด้วย
ไส้กรอกที่ประกบด้วยขนมปังเป็นที่นิยมอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอาหารว่างยอดนิยมระหว่างดูกีฬา

ในปี 1906 นักวาดการ์ตูนชื่อ โทมัส ดอร์แกน
ได้แรงบันดาลใจจากรูปร่างที่โค้งงอคล้ายสุนัขดัชชุนค์ของไส้กรอก
และจากเสียงพ่อค้า"เห่า" ตะโกนเรียกคนซื้อ
จึงได้วาดรูปสุนัขดัชชุนด์ราดด้วยมัสตาร์ดประกบด้วยขนมปัง
และเขียนบรรยายใต้รูปว่า “ซื้อหมาร้อน ๆ จ้า" (“Get your hot dogs! )

เล่ากันว่าดอร์แกนไม่สามารถสะกดคำว่า ดัชชุนด์ได้ถูกต้อง จึงใช้คำว่าหมา (dog) แทน

ปรากฏว่าคำว่าฮอตดอกกลายเป็นคำที่ติดปากคนอเมริกันทั่วไป
จนเลิกเรียกไส้กรอกด้วยคำอื่น ๆ และยังทำให้ชาวโลกคิดว่า
ฮอตดอกเป็นอาหารที่คนอเมริกันคิดขึ้นมาอีกด้วย


ที่มา 108 ซองคำถาม

ทำไมช็อกโกแลตต้องห่อด้วยกระดาษตะกั่ว(foil)

จากประสบการณ์เมื่อแกะกระดาษตะกั่ว (foil) ออกจากช็อกโกแลตในกล่องช็อกโกแลตรวมรส
เรามักจะผิดหวังเพราะช็อกโกแลตชิ้นที่ห่อไว้ไม่ได้ดูดีน่ากินกว่าชิ้นที่ไม่ได้ห่อเลย

จริง ๆ แล้วการห่อช็อกโกแลตเฉพาะบางชิ้นด้วยกระดาษตะกั่วในกล่องช็อกโกแลตของขวัญนั้น
ทำด้วยเหตุผลในแง่การนำเสนอเป็นหลัก
ช็อกโกแลตบางชิ้นที่ห่อไว้ด้วยกระดาษตะกั่วสีสันลวดลายสดใส
ช่วยทำให้ช็อกโกแลตทั้งกล่องดูสวยงามน่ากินขึ้นมาก

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้ผลิตเลือกห่อช็อกโกแลตบางชิ้น คือ
ไส้ช็อกโกแลตบางชนิดมีรสชาติและกลิ่นค่อนข้างแรงโดดเด่นมาก
จึงต้องห่อไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รสชาติและกลิ่นนั้นถูกดูดกลืนไป
โดยช็อกโกแลตชิ้นอื่นที่วางอยู่ใกล้กันในกล่อง
ช็อกโกแลตไส้ถั่วเช่นวอลนัท และไส้ที่ผสมเหล้า มักเป็นชิ้นที่ถูกห่อด้วยกระดาษฟอยล์

มีข้อสงสัยว่าการห่อช็อกโกแลตด้วยกระดาษฟอยล์จะช่วยยืดอายุบนชั้นวางจำหน่ายได้หรือไม่
คำตอบคือได้
เพราะกระดาษฟอยล์ช่วยป้องกันช็อกโกแลตไม่ให้สัมผัสกับออกซิเจนและความชื้น

อย่างไรก็ดีไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าช็อกโกแลตชนิดที่ถูกห่อเสียง่ายกว่า
ชนิดที่ "เปลือย" ในกล่องเดียวกัน
และผู้บริโภคส่วนใหญ่ทราบดีว่าช็อกโกแลตอย่างดี (ราคาแพง !)
ไม่อาจคงความสดใหม่ไว้ได้ยาวนานเท่าช็อกโกแลตแท่ง (ราคาถูกกว่า)
ที่ขายทั่วไปตามซูเปอร์มาร์เกต

ผู้ผลิตหลายรายใช้ขี้ผึ้งพาราฟิน (ไขจากการกลั่นปิโตรเลียม)
เคลือบช็อกโกแลตเพื่อให้ดูเป็นมันเยิ้มน่ากิน
แต่สารเคลือบนี้ทำให้รสชาติของช็อกโกแลตเสียไป

ในกรณีของช็อกโกแลตเคลือบประเภทนี้จุดประสงค์ของการห่อกระดาษฟอยล์ คือ
ช่วยรักษาความมันแวววาวของสารเคลือบ
ไม่ใช่การยืดวันหมดอายุของช็อกโกแลตชิ้นนั้น

ที่มา 108 ซองคำถาม

ข้อคิดดีีดีในการใช้ชีวิต ที่อยากให้ทุกคนอ่าน

.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด
ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..

.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต

..ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..

.. คนที่ไม่เคยหิว
ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม..

..ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..

.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง..

..อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่..

..เหตุผลของคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน อีกคนนึง..

..ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร..

..ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น..

..ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป..

..หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ..

..มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..

.. คนเรา ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น ที่ได้ทำ ..

..หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทางมากกว่า..


ที่มา www.watsuthatschool.com/viteput/

ทำไมเรียกปูอัดทั้งที่ทำมาจากปลา



ปูอัดนั้น ภาษาทางการเรียกว่า เนื้อปูเทียม การผลิตเนื้อปูเทียม เกิดจากความคิดที่ว่า ปลาที่จับได้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ถือว่าไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเพราะผู้บริโภคไม่นิยมราคาจึงถูกมาก ประมาณร้อยละ ๙๐ ของปลาขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า ปลาเป็ด จะถูกนำไปทำเป็นปลาป่นสำหรับใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารสัตว์ นับได้ว่าเป็นการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และแล้วบริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นก็คิดค้นนำปลาดังว่านี้มาทำเป็นเนื้อปูเทียมขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๑๘


ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพในการทำประมง และมีบริษัทผลิตเนื้อปูเทียมมานานหลายปีแล้ว ปลาที่ใช้ได้แก่ ปลาทรายแดง ปลาทรายขาว ปลาตาโต ปลาดาบ ปลากะพง ฯลฯ วิธีทำเริ่มต้นจากการนำปลามาตัดหัว ควักไส้ทิ้ง ส่งเข้าเครื่องบีบเอาแต่เนื้อปลา นำปลาบดที่ได้มาผสมเครื่องปรุงจำพวกแป้ง น้ำตาล เกลือ ผงชูรส และกลิ่นปู เสร็จแล้วนำไปทำให้สุกและทำให้เนื้อปลามีลักษณะเป็นเส้นเหมือนเนื้อปูจริง ๆ จากนั้นจึงอัดเป็นแท่งยาว ๆ แล้วตกแต่งสีให้ดูเหมือนเนื้อปูจริง ๆ บางบริษัทถึงกับอัดเนื้อปูเทียมเป็นรูปก้ามปู (ที่แกะเปลือกแล้ว) ดูน่ากิน


อย่างไรก็ตาม มีผู้บริโภคจำนวนมากคิดว่าปูอัดเป็นเนื้อปูจริง ๆ พอรู้ในภายหลังว่าทำมาจากเนื้อปลา ถึงกับเลิกกินไปเลยก็มี

ที่มา หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี

จุดแดงบนหน้าผากสตรีอินเดีย






จุดแดงที่แต้มกลางหน้าผากเรียกว่า "ติกะ" (Tika) แต่ในบางครั้งอาจเรียกว่า "บินดิ" (Bindi)
ซึ่งหมายถึงจุดที่เจิมบริเวณแสกผม โดยใช้นิ้วป้ายขึ้นไปตามรอยแสกผม
ปัจจุบันจุดบนหน้าผากสตรีอินเดีย อาจเรียกปนกันทั้ง ติกะ และ บินดี

สตรีในศาสนาพราหมณ์ฮินดูแต่โบราณนานมา เมื่อแต่งงานแล้วจะแต้มจุดแดงที่กลางหน้าผาก
เป็นสัญลักษณ์ของการมีพันธะด้านการครองเรือน ในฐานะผู้เป็นภรรยา ผู้เป็นแม่

สตรีอินเดียถือสามีเสมือนเทพ จะให้ความรักความเคารพอย่างสูง
การเจิมหน้าผากจะทำในวันแต่งงาน เมื่อคู่บ่าวสาวเดินรอบกองไฟแล้ว
พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีวิวาห์ หรือผู้เป็นเจ้าบ่าวจะเจิมหน้าผากให้เจ้าสาว
เป็นการประกาศว่าหญิงผู้นั้นเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามประเพณี
สตรีชาวอินเดียจะต้องมีจุดนี้อยู่ตราบที่สามียังมีชีวิตอยู่ และจะต้องลบออกเมื่อสามีเสียชีวิต



ในกรณีที่เลิกร้างกัน สตรีผู้นั้นจะลบจุดออกได้ต่อเมื่อเป็นการเลิกร้างโดยคำสั่งของศาล
หากสตรีผู้นั้นลบจุดติกะออกโดยที่สามียังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ได้เลิกกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
จะถือว่าเป็นการกระทำสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ

โดยทั่วไปจุดสีแดงนี้จะทำจากมูลวัวที่นำมาเผาและบดจนละเอียด
แล้วผสมกับสีแดงชาดที่ได้จากรากไม้ มูลวัวไม่ถือว่าเป็นของสกปรก
เพราะวัวเป็นพาหนะของพระเจ้า และกินพืชเป็นอาหาร
ผงสีนี้เรียกว่า "ผงวิภูติ" มีจำหน่ายตามร้านค้า ผงนี้อาจมีการนำไปทำพิธีก่อนนำมาใช้ก็ได้



ลักษณะของจุดติกะมีหลายแบบ เดิมนิยมจุดกลม คนที่ยังสาวจะนิยมจุดเล็กเพราะสวยงามกว่า
แต่พออายุมากขึ้นอาจแต้มจุดให้ใหญ่ขึ้น ปัจจุบันมีรูปแบบจุดอื่น ๆ เช่น รูปคล้ายหยดน้ำ
หรือเป็นวงกลมและมีรัศมีโดยรอบเหมือนดวงอาทิตย์
ปัจจุบันติกะพัฒนารูปแบบไปมากทั้งรูปทรงและสีสัน บางทีก็ทำเป็นสติกเกอร์เพื่อสะดวกใช้

มีข้อสังเกตว่า ในบางครั้งจุดติกะอาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของสตรีที่แต่งงานเพียงอย่างเดียว
ติกะถือว่าเป็นสิ่งมงคล ชาวอินเดียบางกลุ่มจะใช้ในโอกาสอื่น ๆ เช่นเวลาไหว้พระ
พราหมณ์จะให้ผงวิภูติ ผู้รับจะนำมาเจิมเพื่อเป็นสิริมงคล แต่ก็เป็นการเจิมเพียงชั่วคราวเท่านั้น

คนที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมอินเดียมักเข้าใจว่า
จุดแดงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นชาวอินเดีย
จึงมักแต้มจุดแดงเวลาที่แต่งกายเป็นชาวอินเดีย เช่นนางเอกในละคร
แม้ยังเป็นสาวเป็นแส้ ก็แต้มจุดแดงกับเขาด้วย
นี่เป็นเรื่องของการนำมาใช้โดยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจุดแดงจะเป็นวัฒนธรรมของพวกพราหมณ์ฮินดู
แต่สตรีชาวอินเดียที่แต่งงานแล้ว และไม่ใช่ชาวฮินดูแท้ ๆ อาจรับวัฒนธรรมนี้ไปใช้

ในชาวอินเดียบางกลุ่ม สัญลักษณ์ของสตรีที่แต่งงานแล้ว
อาจเป็นการห้อยสายสร้อยสังวาลมงคล ซึ่งสามีมอบให้

ที่มา 108 ซองคำถาม

เหตุใดศาสนาอิสลามอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่ง



คนทั่วไปมักจะรู้จักมุสลิมเพียงสองประการ คือ
มุสลิมไม่กินหมู และมุสลิมมีภรรยาได้หลายคน



จริง ๆ การมีภรรยาหลายคนเป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ

บทบัญญัติของศาสนาส่วนใหญ่ในโลกก็ไม่ได้ห้ามการมีภรรยาหลายคน
ศาสนาอิสลามนั้นอนุญาตให้ชายมีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน
ภายใต้ข้อแม้ว่าจะต้องสามารถให้ความยุติแก่ผู้หญิงทั้งสี่ได้

ความยุติธรรมในที่นี้ได้แก่ความเท่าเทียมกันในด้านการจ่ายค่าครองชีพ
(ค่าอาหาร เครื่องแต่งกาย และที่อยู่อาศัย)
ไม่ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนแก่จิตใจของภรรยาคนใดคนหนึ่งต่อหน้าภรรยาคนอื่น ๆ
และสามีต้องค้างคืนกับภรรยาแต่ละคนให้เท่า ๆ กัน

เหตุที่ ศาสนาอิสลามอนุญาตไว้เช่นนี้ เพราะอิสลามส่งเสริมให้มีลูกมาก ๆ
เพื่อจำนวนมุสลิมจะได้มีมากขึ้น
อิสลามคำนึงถึงความจำเป็นของชายที่ปรารถนาจะสืบต่อวงศ์ตระกูล
แต่ภรรยาไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้เพราะเป็นหมันหรือป่วย

อีกทั้งชายบางคนก็มีความต้องการทางเพศสูง การอนุญาตให้เขามีภรรยาเพิ่มขึ้น
(โดยที่เขาต้องเลี้ยงดูผู้หญิงใหม่ได้อย่างยุติธรรมดังกล่าวมาแล้ว)
จึงย่อมดีกว่าปล่อยให้เขาไปหาทางออกทางอื่นที่เป็นบาป

และอิสลามคำนึงว่าในโลกนี้มีพลโลกหญิงมากกว่าชาย
ทำให้หญิงจำนวนมากต้องครองตัวเป็นโสด
หากอนุมัติให้เธอแต่งงานกับชายที่มีภรรยาแล้ว
ซึ่งสามารถให้ความสุขและความยุติธรรมแก่เธอได้ ย่อมเป็นการดีกว่า



อย่างไรก็ตาม การอนุญาตให้มีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน
เป็นข้อยกเว้นที่เปิดโอกาสให้กระทำได้ แต่มิได้หมายความว่า
ศาสนาอิสลามจะส่งเสริมให้ชายทุกคนมีภรรยาหลายคน
และในหมู่ชาวมุสลิม ชายที่มีภรรยาหลายคนเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็นับว่าน้อยมาก

ในอียิปต์กฎหมายอนุญาตให้มีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน
แต่ปรากฏว่าผู้ที่มีภรรยามากกว่าหนึ่งคนมีเพียง 2.75 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ที่มา 108 ซองคำถาม

ค่ายธรรมทายาท

ดาบคมที่ไร้ฝัก ระเบิดที่ปราศจากสลักนิรภัย อาจนำอันตรายมาสู่เจ้าของและคนรอบข้างได้ทุกเมื่อฉันใด วิชาความรู้ที่ไม่มีศีลธรรมกำกับย่อมนำภัยพิบัติมาสู่ผู้เป็นเจ้าของความรู้และอยู่ใกล้เคียงได้ฉันนั้น บุคคลที่ประกอบด้วยวิชาความรู้ดี และความประพฤติดี จึงเป็นบุคคลที่มีความสมบูรณ์ เป็นบุคคลที่สังคมต้องการ และแสวงหา การฝึกอบรมค่ายธรรมทายาทเป็นกระบวนการที่ต้องการให้เกิดผู้มีความรู้คู่คุณธรรม เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ ที่มีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล มีโลกทัศน์และชีวทัศน์มีความสมดุลย์ระหว่างสมองทั้งสองด้าน มีความ สมดุลย์ระหว่างโลกกับธรรม กายกับจิตวิญญาณ เหตุกับผล สติกับปัญญา ก่อเกิดพลังสร้างสรรค์ตนเอง และอุทิศตนเพื่อรับใช้สังคมอย่างรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปของโลก โดยใช้คำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักในการอบรม

แนวคิดหลักในการอบรม
การอบรมในค่ายธรรมทายาท เกิดจากการนำปรัชญาการศึกษาทางพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ ซึ่งมีองค์ประกอบอยู่ 4 ประการ คือ
1. พัฒนากาย : การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพอย่างถูก
ต้องดีงาม
2. พัฒนาศีล : การพัฒนาการอยู่ร่วมในสังคมด้วยดี อย่างเกื้อกูลเป็นประโยชน์
และมีอาชีพที่ถูกต้อง
3. พัฒนาจิต : การฝึกอบรมเพื่อให้เกิดจิตที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะ ๓ ประการ คือ
1.คุณภาพจิต : มีคุณธรรม สร้างเสริมจิตให้งดงาม
2.สมรรถภาพจิต : ความสามารถของจิต
3.สุขภาพจิต : มีจิตที่มีสุขภาพดี
4. พัฒนาปัญญา : ฝึกอบรมเพื่อให้เกิดปัญญา 5 ระดับ คือ
ระดับที่ 1 : ความรู้ความเข้าใจในศิลปวิทยาการ
ระดับที่ 2 : การรับรู้เรียนรู้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
ระดับที่ 3 : การคิดวินิจฉัยโดยบริสุทธิ์ใจ
ระดับที่ 4 : การเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริง รู้ทาง
เสื่อมทางเจริญ และเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง รู้วิธีแก้ไข
ปัญหาและสร้างสรรค์ความสำเร็จ ที่ทำให้พัฒนาตน
พัฒนาชีวิตและสังคมให้เจริญดีงามยิ่งๆ ขึ้นไป
ระดับที่ 5 : รู้เท่าทันธรรมดาของโลกและชีวิต เข้าใจความจริง
แท้จิตใจเป็นอิสระ หลุดพ้นจากทุกข์โดยสมบูรณ์

ปรัชญาค่าย
ทํนโต เสฎโฐ มนุสเสสุ = ในหมู่มนุษย์ผู้ที่ฝึกตนดีแล้ว ประเสริฐที่สุด
….เราเชื่อว่า….
“ คนจะดีได้ก็เพราะการฝึก…ฝึกมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น
เราเชื่อว่าคนเรานั้นพัฒนาได้ ให้ดีได้ เท่าที่เขาต้องการ
พัฒนาที่ใจของคนเรานี่แหละ คือ การพัฒนาที่ถูกต้อง
คนมีใจพัฒนาแล้ว จะไปสร้างประโยชน์ สร้างความดี สร้างวัตถุอะไรก็ได้”
2
วิธีการอบรม
๑. เสริมสร้างจิต กระตุ้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนสภาพทางจิต ยกจิตจากไร้คุณภาพไปสู่ดุลยภาพ โดยคิดใหม่ คิดล่วงหน้า เพื่อขจัดพฤติกรรมแบบเก่าๆ แล้วทดแทนด้วยความคิดแบบใหม่ เพื่อสร้างพฤติกรรมใหม่ในทางสร้างสรรค์
๒. กระตุ้นให้เกิดความมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ที่ดีงาม มีความเคารพ
๓. ปลูกจิตสำนึกในการทำงานเป็นทีม เป็นทีมงานธรรมทายาท มีวิญญาณแห่งการทำงานเป็นทีม คุณธรรม คือหัวใจของความสำเร็จ รู้จักใช้ระบบการสื่อสารยุคไร้พรมแดนเพื่อก้าวไปสู่โลกแห่งศตวรรษใหม่อย่างรู้เท่าทัน มุ่งไปข้างหน้า มิใช่ถอยหลังและหยุดอยู่กับอดีต
๔. ปรับตัวเข้า นำภาวะการเปลี่ยนแปลง กล้าปรับ กล้ารื้อระบบ กล้านำ กล้าทำ กล้าเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ละมานะทิฎฐิได้
๕. ฝึกให้มีวินัยในตนเอง และเคารพกฎกติกาทางสังคม รู้จักการเป็นคนดีทางจริยธรรม ทั้งในการทำ การพูด
๖. ตั้งฐานจิต พิชิตการทำงาน เพื่อสร้างอุทยานแห่งความสำเร็จ (สัมมาสติ)
๗. ฝึกให้เก่งสุด อดทนเป็นเลิศและเย็นสุด (สัมมาสมาธิ) อยู่ตรงกลางระหว่างใหม่กับเก่า สุขกับทุกข์ ดีกับชั่ว ต่ำกับสูง ซ้ายกับขวา หน้ากับหลัง บนกับล่าง ร้อนกับเย็น เห็นความจริงปรากฏแจ่มชัด ผ่องใส เบิกบาน

สัญญาใจค่ายธรรมทายาท
คิดกว้าง มองไกล ใฝ่สูง
การอบรมเน้น ๔ ส. คือ สนุก สาระ สงบ และสำนึก

กติกาค่ายธรรมทายาท
กติกาในการอยู่ ค่ายพุทธบุตร นั้น ไม่เน้นระเบียบเป็นข้อ ๆ เหมือนทั่วไป แต่อาศัยการแนะนำพร่ำสอน ให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความสำนึกว่าอะไรควรทำ และอะไรไม่ควรทำ และสามารถบังคับตนเองได้ โดยสอนเน้นการประพฤติทางกาย วาจา ใจ ดังต่อไปนี้
ก.การประพฤติทางกาย
-ยืนเรียบร้อย -เดินเรียบร้อย -นั่งเรียบร้อย
-นอนเรียบร้อย -รับประทานอาหารเรียบร้อย -ไม่ทำร้ายร่างกายผู้อื่น
-ไม่ทำลายของรักของผู้อื่น -ไม่ออกไปนอกบริเวณค่าย -ไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
-ไม่เสพของมึนเมาทุกชนิด -ไม่ซื้ออาหารมารับประทาน -ไม่ถือเอาสิ่งของผู้อื่นด้วยเจตนาขโมย
-เดินผ่านพระอาจารย์ หรือครูอาจารย์ ให้ยกมือไหว้ทุกครั้ง -ต้องสำรวมกายตลอดเวลา
ข.การประพฤติทางวาจา
-ไม่พูดเท็จ พูดแต่คำจริง
-ไม่พูดคำหยาบ พูดแต่ถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดมีหางเสียง
-ไม่พูดยุยุงให้แตกความสามัคคีกัน พูดถ้อยคำที่มีประโยชน์เป็นสุภาษิต
-พูดด้วยจิตเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นได้ปัญญา มีความสุข
-พูดกับพระอาจารย์ต้องประนมมือไหว้ทุกครั้ง
ค.การประพฤติทางใจ
-มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
-เมื่อเห็นผู้อื่นมีความทุกข์ มีน้ำใจเอ็นดูคิดช่วยเหลือให้พ้นทุกข์
-เมื่อเห็นผู้อื่นได้รับความสุข ก็พลอยยินดีด้วย ไม่ริษยาไม่คิดทำลาย
-มีน้ำใจเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว โดยไม่ถือคติว่า “ เมื่อคราวต้องเสียสละเราออกหน้า เมื่อมีผลประโยชน์เข้ามาเราอยู่หลัง”
-รู้จักให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธแค้น ไม่พยาบาทจองเวรผู้ใด
-ปล่อยวางได้ไม่ถือมั่นด้วยกิเลส ไม่ต่อความยาวสาวความยึด
สรุปความว่า
พุทธบุตร ต้องมีกายอ่อนน้อม วาจาอ่อนหวาน จิตใจอ่อนโยน

ระเบียบค่ายธรรมทายาท
ผู้เข้าค่ายฝึกอบรมคุณธรรมในค่ายธรรมทายาท ต้องปฏิบัติตน ดังนี้
- มีระเบียบ ในการเข้าออกห้องประชุม เปลี่ยนฐาน นั่งทำกิจกรรม
- สะอาด ภาชนะอาหาร ที่พัก ห้องประชุม
- สงบ ในห้องประชุม เวลาฟังธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม และเข้านอน
- ทำกิจกรรมตามลำดับก่อนหลัง เสมอ
- ตื่นตัวอยู่เสมอ ปรับตัวให้ทันเวลา ทันสถานการณ์ อย่าเฉื่อยชา อย่านิ่งดูดายเมื่อนกหวีด
- ครั้งที่หนึ่งดังขึ้น มีเวลาเพียงสองนาที ในการรวมกลุ่ม เมื่อนกหวีดครั้งที่สองดังขึ้น เราพร้อมที่จะปฏิบัติการ
- ยอมรับความจริง เมื่อผิดต้องยอมรับผิด อย่าเฉไฉ ปัดสวะให้ผู้อื่น พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสภาพ ทุกสถานการณ์ด้วยสติปัญญา ไม่บ่น ไม่ท้อ
- ฝึกตนเองอยู่เสมอ ทางกายและวาจาทางกาย ต้องประสานมือตลอดเวลาที่อยู่ในค่าย ยกเว้นทำงาน ไม่ยืนหรือเดินรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ และประนมมือพูดกับ พระ ยืนตรงพูดกับครูอาจารย์เสมอ ทางวาจา พูดกับพระ มีหางเสียงว่า “เจ้าค่ะ” “ครับผม” เสมอ ละมานะทิฎฐิ ไม่เอาเปรียบเพื่อน ไม่เห็นแก่ความสบาย
- ไม่อยู่สองต่อสองระหว่างชายกับหญิง
- ไม่ออกนอกบริเวณค่ายก่อนได้รับอนุญาต
- ห้ามนำสิ่งของมีค่าเครื่องประดับติดตัว คณะพระพระอาจารย์และครูอาจารย์ไม่รับผิดชอบ
- บันทึก สิ่งที่ได้รับการอบรมทุกกิจกรรม และก่อนนอนบันทึกประจำวันส่ง
- ร่วมกิจกรรมทุกอย่าง กิจกรรมทุกอย่างจะทำให้เรามีการพัฒนา
- ไม่ส่งเสียงคุยกันในห้องประชุม ห้องอาหารและห้องนอน อยู่ในอาการอันสงบสำรวม
- ห้ามเสพสิ่งเสพติดทุกชนิด ถ้าพบเห็น หรือทราบ จะต้องได้รับโทษขั้นหนัก
- ห้ามก่อการทะเลาะวิวาทในค่าย หากเกิดขึ้นต้องให้ออกจากการอบรมทั้งสองฝ่าย

ค่ายธรรมะเพื่อจิตใจเป็นสุขสงบ

เดินจงกรม สงบกาย สงบใจ



สมาธิเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะหมายถึงการมีสติที่จะจัดการและควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ราบรื่น ดังนั้น หากได้รับการฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่เด็กๆ จนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ จะทำให้เด็กคนนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีจิตใจสงบเป็นสุข และมีความมั่นคงทางอารมณ์ การเข้าค่ายธรรมะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสมาธิให้เด็กๆ ได้

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (ทีเค พาร์ค) ได้จัดค่ายธรรมะกับเยาวชนขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการค้นพบตัวตนกับทีเค พาร์ค ที่วัดป่าสุนันทวาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีหลวงพ่อชา สภทฺโท พระนักปฏิบัติผู้โด่งดังเป็นเจ้าอาวาส ว่าไปแล้วค่ายนี้จะแตกต่างจากค่ายทั่วๆไปที่เราเคยพบเห็นที่เน้นเรื่องกิจกรรมสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจ แต่ค่ายนี้กลับให้ความสำคัญเรื่องการรู้จักอยู่กับตัวเอง สังเกตพฤติกรรม รู้จักสำรวมกาย วาจา ใจ และได้ฝึกนั่งสมาธิอีกด้วย การที่จัดให้เด็กทั้งชายและหญิงตั้งแต่ ป.1 จนถึง ม.6 เกือบ 20 คนได้มาฝึกการใช้ชีวิตร่วมกันที่วัดป่าสุนันทวนาราม ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาและแมกไม้เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่ตื่นตอนเช้ามืดจนกระทั่งนอนหลับ อาจเป็นเรื่องที่วุ่นวายน่าดูแต่แล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้น

อาจารย์อารี สิริโยธิน หัวหน้าวิทยากรจากโรงเรียนรุ่งอรุณ กล่าวว่า การจัดค่ายครั้งนี้เน้นกิจกรรม 3 อย่างในตัวเด็ก คือ กาย วาจา ใจ ทางกายฝึกให้เด็กมีวินัยในตัวเอง กำกับตัวเองให้ได้ วาจา ต้องรู้จักปิดวาจา อยู่กับตัวเองเวลารับประทานอาหาร รวมทั้งการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น ส่วนใจ เด็กๆ จะรู้จักสงบจิตใจเพื่อฝึกความอดทนในช่วงเดินจงกรม เนื่องจากเด็กสมัยนี้มีสภาพแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้าหลายๆ อย่างที่กระตุ้นให้เขาต้องเร่งรีบตลอดเวลา ทั้งเกม คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือที่ทำให้เราไม่รู้จักการฟังคนอื่น จนกลายเป็นคนไม่มีสมาธิหรือสมาธิสั้น ทำอะไรได้เพียงชั่วครู่ต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแล้ว

“ผลพวงของการรับวัฒนธรรมต่างชาติ สภาพสังคม ทำให้ในแต่ละวันมีเรื่องคิดมากจนเกือบลืมวิถีเดิมของชาวพุทธ คือการได้พาเด็กๆ ไปวัดในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา รู้จักการสวดมนต์ นั่งฟังคำสอนจากพระ แต่ครูก็ดีใจท่ามกลางสังคมที่แปรเปลี่ยนไป ก็มีผู้ปกครองหลายคนมีความตระหนักในเรื่องนี้จึงส่งเด็กมาค่ายธรรมมะ แม้จะเป็นระยะสั้นๆ เพียง 3 วันแต่เมื่อเขากลับไปบ้าน ครูเชื่อว่าเขาจะเห็นคุณค่าและความสำคัญของกิจกรรมที่จัดขึ้น เช่น การสวดมนต์เป็นเวลานาน 2-3 ชั่วโมง หรือการเดินจงกรม เป็นต้น” อาจารย์อารี กล่าว

อาจารย์อารี กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่พาเด็กมาเข้าค่ายธรรมะหลายครั้งในเด็กแต่ละกลุ่มที่มีอายุแตกต่างกันไป สังเกตว่าการพาเด็กมาเข้าค่ายธรรมะสามารถช่วยขัดเกลาด้านจิตใจของเด็กๆ ได้เยอะทีเดียว เมื่อมีสมาธิใจก็จะมีความประณีต ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการแสดงออก คือจากเด็กที่แข็งกระด้าง พูดจาไม่สุภาพ ก็อ่อนโยนขึ้น รู้จักประมาณตัวเอง รู้กาลเทศะ เวลา และสถานที่ ทั้งยังมีไหวพริบเพราะสมองดี ปัญญาก็เกิด พอมีปัญญาย่อมทำให้ฉลาดที่จะเลือกรับสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต

ขณะที่พระอาจารย์หนูพรหม สุชาโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม บอกว่า การเข้าค่ายครั้งนี้มีส่วนในการพัฒนาจิตใจของเด็กได้มากทีเดียว เพราะอย่างน้อยได้ฝึกให้เขารู้จักการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ฝึกสมาธิ ฝึกสวดมนต์ ซึ่งเมื่อกลับไปแล้วพ่อแม่ก็ควรที่จะสานต่อโดยการพาเด็กๆไปวัดบ้างในวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งเรื่องธรรมะ สมาธิ จะค่อยๆ ซึมซับลงไปในจิตใจของเด็กๆ เหมือนการปลูกต้นไม้ที่ค่อยๆ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ดูแลรักษาจึงจะได้ผลออกมาคุ้มค่า เด็กๆ เป็นไม้อ่อนว่าง่ายสอนง่าย พ่อแม่จึงต้องปลูกฝังสิ่งดีๆ ให้

“วัยเด็กเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อย่างในญี่ปุ่นวัยรุ่นมีข่าวฆ่าตัวตายกันเยอะ เพราะว่าเขาไม่มีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสกับความสงบ ฝึกปฏิบัติสงบจิต-สงบใจในวัดอย่างบ้านเรา เวลามีปัญหาก็หาทางออกไม่ได้ ส่วนบ้านเราเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา ในต่างจังหวัดเด็กได้มาวัดกับพ่อแม่ ย่ายาย ส่วนเด็กในกรุงเทพฯ ก็น่าเป็นห่วงนะ ไม่ค่อยได้ไปวัด เติบโตขึ้นมาพ่อแม่มักพาไปห้างแทน” พระอาจารย์หนูพรหม กล่าว

พระอาจารย์ กล่าวด้วยว่า ทั้งเรื่องของสมาธิและความอดทนเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตในประจำวัน เวลาที่เราโกรธใครก็ตาม เราก็เอาความอดทนไปใช้ ไม่ทำตามอารมณ์โกรธ มิฉะนั้นไฟโกรธจะยิ่งลุกลามเผาตัวเอง เพื่อนที่ดีต่อกันมานานอาจกลายเป็นศัตรูได้ในพริบตา จริงอยู่ที่เรื่อง ความโลภ โกรธ หลงเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนทั่วไป หากแต่เราต้องรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองแล้วจะนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องดีงาม



นั่งเขียน นอนเขียน ตามความสบายใจ



บรรยากาศภายในวัดเอื้อต่อการขัดเกลาจิตใจเด็ก

กะละมังข้าว เป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกที่ทุกคนที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนี้ต้องใช้เมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร ครูเฉิม-บุญญรัชฎ์ สาลี แห่งโรงเรียนรุ่งอรุณ อธิบายว่า การรับประทานข้าวด้วยกะละมังแทนที่จะใช้จานเหมือนวัดทั่วไปนั้น เป็นการจำลองการฉันอาหารของพระโดยใช้บาตร เมื่อใช้ชามใบใหญ่ที่เป็นสังกะสี สิ่งแรกทำให้เด็กๆ ต้องรู้จักการกะประมาณ เลือกตักอาหารได้ตามใจชอบแต่ต้องรับประทานให้หมด อีกข้อหนึ่งคือการรับประทานต้องมีสติอยู่กับตัว ไม่ให้มีเสียงช้อนกระทบกับกะละมัง สรุปแล้วสำรวมทั้งกายวาจาและใจขณะรับประทานอาหาร นอกจากนี้ ก่อนรับประทานในแต่ละมื้อมีการท่องบทพิจารณาอาหารที่ระลึกถึงบุญคุณของอาหารดังว่า

“อาหารนี้ ข้าพเจ้าจะรับประทานเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ปราศจากโรคภัย ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี เพื่อปฏิบัติธรรม ไม่รับประทานเพื่อบำรุงกิเลส ตัณหา อุปาทาน ขอให้ท่านผู้บริจาคและผู้บริการทุกท่านจงมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากโรคภัย อันตราย ทั้งปวง เทอญ” ในช่วง 3 สังเกตได้ว่าไม่มีน้องๆ คนใดรับประทานอาหารเหลือเลยแม้จะใช้ชามใบใหญ่ก็ตาม อาจเป็นเพราะซาบซึ้งในพระคุณของแม่โพสพ

ตัวเรือนนอน ปราศจากไฟฟ้า ในช่วงเย็นหลังจากทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เด็กๆ ทุกคนต้องรีบอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปเดินจงกรมและทำวัตรเย็นเวลา 18.00 น. เมื่อทำวัตรเสร็จจะนั่งฟังธรรมะจากพระอาจารย์ที่ผลัดกันมาสอนธรรมะที่ให้ข้อคิดดีๆ แก่เด็กๆ จากนั้นก็เดินกลับยังที่พักเพื่อเตรียมเข้านอน เนื่องจากที่วัดแห่งนี้ปั่นไฟฟ้าใช้เอง ซึ่งเริ่มเปิดตอนตี 4 และปิดตอน 4 ทุ่ม หลังจากนั้นทุกคนก็เข้านอนภายในโรงนอนที่มืดสนิทจนเห็นดาวเต็มท้องฟ้าพร้อมกับฟังเสียงจักจั่นและเรไรจนหลับไป

เดินจงกรม ท่ามกลางธรรมชาติ-ป่าเขา ที่วัดแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 1,500 ไร่จึงไม่แปลกที่เส้นทางเดินจงกรมในแต่ละเช้าจะไม่ซ้ำกัน ทุกคนจะได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติอย่างแท้จริงว่าสดชื่นและน่ารื่นรมย์ แม้จะเดินวันละ 2 กิโลเมตรแต่ไม่รู้สึกว่าไกล เพราะสองข้างทางมีต้นไม้ เสียงนกร้องคล้องใจเด็กให้เดินอย่างมีสมาธิ

เด็กรุ่นใหม่ ห่างไกลวัด

นางสิริกร มณีรินทร์ ประธานกรรมการ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ ซึ่งเดินทางมาร่วมกิจกรรมที่วัดป่าสุนันทวนารามร่วมกับเด็กๆ ด้วย กล่าวว่า จัดค่ายนี้ขึ้นมาเพื่อให้เด็กได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตตามแบบอย่างพระพุทธศาสนา ที่มีการฝึกสมาธิ ฝึกจิตใจให้สงบ ทั้งนี้ อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเด็กสมัยนี้สนใจกับวัตถุนิยมมากจนเกินไป และน้อยครั้งจะมีโอกาสเข้ามาสัมผัสการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวก เมื่อมาวัดแล้วเด็กๆ ได้มาสัมผัสธรรมชาติ พื้นดิน ต้นไม้ มีบรรยากาศที่เงียบสงบ ตื่นเช้ามารู้สึกสดชื่น ไม่ต้องกังวลกับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น

“อย่างน้อยที่สุดเขาจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น ช่วยเหลือตัวเอง รู้จักว่าการกราบพระกับกราบคนแตกต่างกันอย่างไร เป็นการปลูกฝังสมาธิ สติ และปัญญาไปพร้อมๆ กัน เมื่อกลับไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง ซึ่งจะเป็นตัวจุดประกายให้เด็กรู้สึกว่าวัดไม่ใช่เป็นสถานที่สำหรับคนรุ่นปู่ย่าตายาย ใครๆ ก็ไปวัดได้ อีกทั้งหลักธรรมที่พระอาจารย์สอนเขาก็สามารถนำไปใช้ได้จริงๆ ท่ามกลางวิกฤตของสังคม เมื่อเขาได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาในเบื้องต้น ก็น่าจะส่งผลดีต่อเขาไม่น้อยและก็นำไปใช้ได้ทุกโอกาส”



ตักอาหารอย่างมีสติ



น้องๆ เห็นพ้อง ‘ค่ายนี้ฝึกความอดทนได้จริงๆ’

น้องยีน-วิภาวี ยามัสเสถียร นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ บางรัก บอกว่า อยากมาค่ายนี้เพราะกำลังขึ้น ม.6 ใกล้สอบเอนทรานซ์แล้วจึงอยากมาสงบจิต สงบใจ ก่อนที่จะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบในระยะอันใกล้นี้

“ยีนว่ามาค่ายนี้ช่วยฝึกความอดทนให้ยีนได้มากทีเดียว เพราะเราต้องสวดมนต์นานๆ เดินจงกรมไกลๆ ตอนที่อยู่กรุงเทพฯ เวลาที่เราอ่านหนังสือ ก็ชอบทำตามใจตนเอง เช่น พออ่านหนังสือได้ 1 ชั่วโมงก็ต้องหยุดพักก่อน ซึ่งจริงๆ แล้วเราอดทนได้มากกว่านั้น เพียงแต่ที่ผ่านมาเรายังไม่เคยลองและไม่เคยรู้ว่าตัวเองทำได้ พอกลับไปต้องฝึกให้อย่างน้อยได้เท่ากับที่เคยนั่งสวดมนต์ที่วัดป่าฯ ที่รู้จักขีดการพักที่ไม่นานเกินไป จากนั้นจึงไปอ่านต่อ”

สำหรับหนูน้อยวัยซนอย่าง ด.ช.ณัฐชนน ฉายารัตนศิลป์ หรือน้องนน วัย 12 ปี จากโรงเรียนทอสี เขตคลองตัน เล่าพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า ไม่เคยนั่งสวดมนต์นาน 3 ชั่วโมงขนาดนี้ อยู่ที่บ้านสวดมากที่สุดได้เพียง 15 นาทีก็หมดความอดทน ต้องลุกขึ้นเดิน มาค่ายนี้ก็ดีอย่างแรกได้ความอดทน สองได้ฝึกสมาธิ ทำให้ไม่กลัวผี เพราะตอนที่เดินกลับจากทำวัตรเย็นต้องเดินกลับจากศูนย์เยาวชนมาที่พัก สองข้างทางมืดสนิท มองไปบนท้องฟ้าเห็นดวงดาว อยู่กรุงเทพฯ สงสัยว่าทำไมถึงไม่มีดาวบ้าง อีกอย่างมาค่ายนี้แล้วได้เพื่อนเยอะ ทำให้ได้ใกล้ชิดวัด เพราะอยู่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้ไปวัด
ส่วนออมสิน-จิรสิน จิรายุวัฒนกุล จากโรงเรียนอนุบาลสามเสน บอกว่า จะนำเรื่องสมาธิไปใช้กับการเรียน เพราะถ้ามีใจจดจ่อกับการเรียนจะทำให้สนใจกับการเรียนมากขึ้น เมื่อก่อนสนใจแต่เกม ส่วนกิจกรรมชอบการเดินจงกรมมาก เพราะพระอาจารย์พาเดินไปชมธรรมชาติ ได้กลิ่นน้ำค้างยามเช้า ทำให้จิตใจสงบได้มากขึ้น

ผู้ปกครองตั้งใจอยากให้ลูกจิตใจสงบก่อนเปิดเรียน

นิภา ฉายารัตนศิลป์ คุณแม่ของน้องนน บอกว่า อยากให้น้องนนไปค่ายครั้งนี้เพื่อนเตรียมตัวสงบจิต สงบใจให้มีสมาธิ รวบรวมสติก่อนเปิดเรียน เพื่อว่าไปโรงเรียนแล้วจะได้มีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น ไม่วอกแวก ผลการเรียนออกมามีคุณภาพ ที่สำคัญค่ายนี้แตกต่างไปจากค่ายอื่นตรงที่ให้ความสำคัญเรื่องสมาธิ ฝึกสงบจิตใจ ซึ่งไม่ค่อยเห็นหน่วยงานอื่นจัดบ่อยนัก

“ปกติเขาไม่ค่อยมีระเบียบ ทำอะไรได้ไม่นาน กลับมาแล้วเขาน่าจะดีขึ้นบ้าง อีกอย่างเขาจะได้รู้จักดูแลตัวเอง ช่วยเหลือเพื่อนฝูง บางทีแม่จู้จี้ เขาก็ไม่ชอบ เมื่อไปวัดเขาจะได้รู้หลักการใช้ชีวิตจริงๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีแม่เคียงข้างสักระยะ” คุณแม่นิภา กล่าว

ขณะที่คุณแม่พรทิพย์ จุลสัญญา แม่ของน้องเหว่ย วัย 8 ขวบ บอกว่า ไม่ได้คาดหวังอะไรมากเพราะเขายังเด็กอยู่ แต่อย่างน้อยค่ายนี้เปิดโอกาสฝึกให้เขารู้จักการดำเนินชีวิตตามแบบพระพุทธศาสนาในวัดป่าท่ามกลางธรรมชาติ ที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่วัดป่าสุนันทวนาราม แต่ยังเชื่อว่าน้องเหว่ยน่าจะได้รู้จักสมาธิและความสงบติดตัวกลับมาบ้าง

แม้ว่าค่ายเยาวชนกับธรรมะครั้งนี้จะจบลงในระยะเวลา 3 วัน แต่เชื่อว่าคำสอนจากพระอาจารย์ การฝึกนั่งสมาธิ เดินจงกรม รวมไปถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่เด็กๆ ได้ตั้งใจมาเข้าค่ายครั้งนี้จะติดตัวเขากลับไป ไม่ว่าจะนานแค่ไหนแม้ยังไม่เห็นผลทันตาในทันที อย่างน้อยที่สุดเขามีโอกาสเข้ามาเรียนรู้สัมผัสชีวิตจริงภายใต้ร่มพระพุทธศาสนา ค่อยๆ ซึมซับลงไปในจิตใจ ขัดกล่อมให้มีสติ รู้เท่าทันกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน