29/6/52

9 เหตุผลดีๆ ที่ควรออกกำลังกาย




ถือเคล็ดเลือกเลขเด็ด "เลข 9" มาเอาใจคนที่ชอบฟิต แอนด์ เฟิร์ม ส่งท้ายปี และถือโอกาส หาเหตุผลดีๆ มาชวนคนขี้เกียจ (ออกกำลังกาย) มา exercise กันเถอะ

ข้อ 1. สนุก ถ้าเอาแต่นั่งๆ นอนๆ รับรองว่า พุงพะโล้ ต้องโย้ออกมาประจานประชาชีแน่ๆ ว่ามั้ย แล้วการออกกำลังกายเนี่ยก็สนุกกว่าการนั่งๆ นอนๆ ตั้งเยอะ (ถ้าคนขี้เกียจคงแย้งตั้งแต่ข้อนี้แล้วล่ะ)

ข้อ 2. แอ๊บแบ๊ว ออกกำลังกายแล้วร่างกายฟิตเปรี๊ยะ ถ้าเป็นหนุ่มๆ ก็สาวๆ มอง ถ้าเป็นสาวๆ ก็หนุ่มๆ มอง เรียกว่าบริหารเสน่ห์ แถมมั่นใจสุดๆ ส่วนคนที่อายุมากแล้วรับรองว่าจะกระฉับกระเฉงดูแอ๊บแบ๊วได้อีกหลายสิบปี

ข้อ 3. หุ่นดี ออกกำลังกายแล้วได้ใส่ชุดสวยแบบพอดีตัวไม่ต้องกลัวเป็นลูกหมู แบบไร้ไขมันไม่อายใคร เพราะการออกกำลังกายช่วยในการควบคุมน้ำหนักตัวและลดไขมัน และลดระดับไขมันในเส้นเลือด

ข้อ 4. ไม่มีโรค เนื่องจากตอนออกกำลังกายจะมีสารความสุขหลั่งออกมา อวัยวะต่างๆ ก็กระปรี้กระเปร่า เรียกว่า เฟิร์มแล้วยังแข็งแรงไม่มีโรค การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อและความทนทานของหัวใจ ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดอัตราการเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้ประมาณ 20% ฯลฯ

ข้อ 5. สมาคม ออกกำลังกายแล้วมีเพื่อนๆ เยอะ โดยเฉพาะคนที่ไปออกกำลังกายที่สนามกีฬา ยิม หรือฟิตเนส ถ้าคุณไม่หน้าบึ้งตึง แค่ยิ้มนิดเดียวก็จะมีเพื่อนตรึมเลยล่ะคราวนี้

ข้อ 6. เจริญอาหาร ตอนที่ฟิต แอนด์ เฟิร์ม เสร็จแล้วเนี่ย รับรองท้องร้องจ้อกๆๆ กินอะไรก็อร่อยไปหมด แต่ระวังๆ หน่อยล่ะ เพราะที่กินเข้าไปเนี่ย จะไปสะสมถ้าหยุดออกกำลังกาย

ข้อ 7. หายเครียด แน่นอนว่ากีฬาเป็นยาวิเศษ เมื่อออกกำลังกายแล้วจะหายเครียด แถมยังมีการศึกษาวิจัยอีกนะว่า เมื่อฟิตมาแล้วเรื่องอย่างว่ายังฟิตตามไปด้วย ก็ในเมื่อคุณแข็งแรงขึ้น หุ่นดีขึ้น มันทำให้การมี sex มีสุนทรียภาพมากขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่คาดได้ไม่ยากจริงๆ

ข้อ 8. นอนหลับสนิท ก็มันเหนื่อยนี่นา เมื่อหัวถึงหมอนคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำจึงหลับสนิท แต่ถ้ามีคนนอนข้างๆ ก็อาจกลับไปดูข้อ 7. อีกที

ข้อ 9. ช่วยชาติ ลองคิดดูก็แล้วกันถ้าคุณไม่เป็นโรคแค่คนเดียว ประเทศของเราจะประหยัดค่ายา ค่ารักษา ค่าผ่าตัด ฯลฯ ไปเท่าไหร่ ไม่ยังงั้น สสส.เขาคงไม่รณรงค์ให้คนไทยไร้พุงหรอกว่ามั้ย ดังนั้น แค่คุณไปออกกำลังกายก็ได้ช่วยชาติแล้ว

เอาแค่ 9 ข้อ ก็คงพอกับเหตุผลดีๆ ที่ควรออกกำลังกาย... เอ้า!! ฟิต แอนด์ เฟิร์ม

ภัยคุกคามสุขภาพเยาวชน

5 ผลงานวิจัยบ่งชี้ภัยคุกคามสุขภาพเด็กนักเรียนประถม ระดับสายตา, การบริโภคขนม, โภชนาการ, โรคฟันผุ และโรคซนสมาธิสั้น นักวิจัยแนะผู้ปกครองเร่งเปลี่ยนพฤติกรรมบุตรหลาน

จากการนำเสนอผลงานวิจัยในชุดโครงการ Southern Health Watch มีงานวิจัย 5 เรื่อง นำเสนอข้อมูลภัยคุกคามต่อสุขภาวะของนักเรียนชั้นประถมศึกษา โดยใช้โรงเรียนในจังหวัดเป็นพื้นที่วิจัย และสามารถสรุปเนื้อหาที่น่าสนใจได้ดังนี้

ทุกๆ เด็กนักเรียน 6 คน จะมีเด็กอ้วน 1 คน และเรายังเข้าใจผิดว่าดื่มนมเปรี้ยวแล้วไม่อ้วน

จากผลงานวิจัยเรื่อง "พฤติกรรมการบริโภคอาหารว่างและขนมของเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในอำเภอหาดใหญ่ : ความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการ" โดย พญ.อารยา ตั้งวิฑูรย์ แสดงให้เห็นว่าในนักเรียนซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างนั้น มีความชุกของโรคอ้วนถึงร้อยละ 16 หรือทุกๆ นักเรียน 6 คน จะมีนักเรียนเป็นโรคอ้วน 1 คน

โดยนักเรียนชายมีอัตราเป็นโรคอ้วนกว่านักเรียนหญิง และนักเรียนในเขตเทศบาลมีเด็กอ้วนมากกว่านักเรียนนอกเขตเทศบาลถึง 1.4 เท่า นอกจากนี้ ยังมีความเข้าใจผิดว่าหากดื่มนมเปรี้ยวแล้วจะลดปัจจัยเสี่ยงของโรคอ้วนได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงนักเรียนควรดื่มนมจืดแทนนมเปรี้ยวและนมหวาน เด็กใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิต วัยเรียนอยู่ใกล้กับความเสี่ยงโรคอ้วน

จากข้อมูลของงานวิจัยเรื่อง "ความสัมพันธ์ของปัจจัยแวดล้อมในโรงเรียนกับการเปลี่ยนแปลงของโรคอ้วนในเด็กชั้นประถมศึกษาใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา" โดย พญ.อมรพรรณ ฐิติบุญสุวรรณ มีผลสรุปที่น่าสนใจชี้ให้เห็นว่า ความชุกของโรคอ้วนในนักเรียนที่อยู่ในเขตเมืองเพิ่มสูงขึ้นจากปี 48 จากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 13.7

ซึ่งมีปัจจัยมาจากอาหารว่าง ขนม และเครื่องดื่ม ซึ่งมีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลเป็นหลัก ซ้ำยังมีประโยชน์ทางโภชนาการน้อย ได้แก่ อาหารทอด, ไอศครีม, น้ำอัดลม ซึ่งโรงเรียนราว 1 ใน 4 จากจำนวนโรงเรียนตัวอย่างไม่มีนโยบายงดจำหน่ายน้ำอัดลมและขนมกรุบกรอบภายในโรงเรียน

อาหารเสี่ยงฟันผุเกลื่อนรอบโรงเรียน จากข้อมูลงานวิจัยเรื่อง "ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการเกิดโรคฟันผุของนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดสงขลา" โดย ทพญ.เสมอจิต พงศ์ไพศาล เปิดเผยว่า โรงเรียนจากกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 95 มีนโยบาย/กิจกรรมเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก และร้อยละ 86 มีนโยบายควบคุมอาหารเสี่ยงในโรงเรียน แต่เกือบทั้งหมดไม่สามารถควบคุมร้านค้านอกโรงเรียนได้ นอกจากนี้ ที่สำคัญครูและผู้จำหน่ายขาดความเข้าใจเรื่องอาหารกลุ่มเสี่ยงต่อโรคฟันผุอีกด้วย

ทั้งนี้ อาหารกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุ อาทิ ช็อกโกแลตเวเฟอร์ นมเปรี้ยว เยลลี่ ลูกอม น้ำอัดลม ขนมถุง/กล่อง ผลไม้กวน โดยนักวิจัยเสนอแนะให้นักเรียนเลือกทานอาหารที่เหมาะสม เช่น ผลไม้สด ขนมไม่หวาน นมรสจืด

นักวิจัยแนะนักเรียนปรับพฤติกรรมการใช้สายตา

รศ.วรรณี จันทร์สว่าง ได้สรุปผลจากงานวิจัยเรื่อง "ระดับสายตาและพฤติกรรมการใช้สายตาของเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาโรงเรียนเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา" ว่าจากการวิจัยทำให้ทราบว่านักเรียนประมาณร้อยละ 9 จากกลุ่มตัวอย่างมีความผิดปกติของระดับสายตา โดยนักเรียนในช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-6) มีอาการสายตาสั้นมากกว่านักเรียนในช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-3) กว่าเท่าตัว และพบว่า นักเรียนในช่วงชั้นที่ 1 มีอาการสายตาเอียงมากกว่าช่วงชั้นที่ 2

โรคซนสมาธิสั้น-แนะผู้ปกครองควรเฝ้าระวัง

โรคซนสมาธิสั้น หรือ ADHD (Attention Deficit/Hyperactivity Disorder) เป็นอาการตั้งแต่วัยเด็กเล็ก ซึ่งมีอาการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ขาดสมาธิ, ซน อยู่ไม่นิ่ง และหุนหันพลันแล่น ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่พอจะทราบ 3 ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค คือปัจจัยทางพันธุกรรม, ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ โรคลมชัก (ลมบ้าหมู) โรคขาดอาหาร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีน) เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ปัญหาการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมภายในบ้านไม่เหมาะสม ปัญหาทางด้านจิตใจของพ่อแม่ หรือผู้ดูแลเด็ก

ทั้งนี้ จะพบอาการได้มากในวัยอนุบาล และมีอาการชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าวัยประถม วัยรุ่น บางรายอาจมีอาการหลงเหลือจนล่วงเข้าวัยผู้ใหญ่ และส่งผลต่อการเข้าสังคม การเรียน การทำงาน และจากผลงานวิจัยเรื่อง "ความชุกของโรคซนสมาธิสั้นในนักเรียนประถมของโรงเรียนในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา" โดย พญ.วรลักษณ์ ภัทรกิจนิรันดร์ พบว่าความชุกของโรคซนสมาธิสั้นในนักเรียนประถมของโรงเรียนในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 8.75% ในขณะที่ความชุกของโรคดังกล่าวในประเทศไทยมีอัตราต่ำกว่าที่ 3-5% และมีอัตราสูงกว่าประเทศที่เจริญแล้ว เช่น อังกฤษและอเมริกา ที่มีความชุกระหว่าง 1.7-4%

นักวิจัยยังบอกอีกว่า แม้ว่าเด็กที่มีอาการของโรคซนสมาธิสั้นมักจะเป็นเด็กที่อารมณ์ดี สนุกสนาน คิดเร็วทำเร็ว แต่หากเด็กยังมีอาการดังกล่าวจนเข้าสู่วัยประถมและวัยรุ่น ตลอดจนวัยทำงานจะส่งผลต่อการเรียน การทำงาน และการเข้าสังคมได้ และก่อให้เป็นปัญหาชีวิตในที่สุด ดังนั้น ผู้ปกครองจึงควรใส่ใจและแยกแยะพฤติกรรมของลูกหลานตั้งแต่อยู่ในวัยเยาว์จะเป็นการดีที่สุด

ออกกำลังกายบำบัดโรค

วิธีการออกกำลังกายแต่ละอย่างช่วยบำบัดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้แตกต่างกันไป ตั้งแต่ปวดท้อง เครียด ไปจนถึงโรคเหงือก วงการแพทย์ได้ค้นพบหลักฐานยืนยันว่า โรคภัยไข้เจ็บหลายชนิดสามารถเยียวยาได้ด้วยการออกกำลังกายให้เหมาะสม ดังตัวอย่างต่อไปนี้

โรคลำไส้แปรปรวน

วิธีแก้ : โยคะ

ความถี่ : สัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง

เหตุผล : โรคนี้ยังไม่ทราบเหตุผลแน่ชัด วินิจฉัยและรักษาได้ยาก อาการอาจมี เช่น ท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย เสียดท้อง แต่นักวิจัยพบว่าการบำบัดที่เน้นทั้งด้านร่างกายและจิตใจจะให้ผลดี ผู้เชี่ยวชาญด้านลมในลำไส้ของมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ในเมืองแวนคูเวอร์ พบว่า โยคะสามารถบำบัดอาการนี้ได้

ผู้ที่ได้เรียนโยคะโดยใช้คู่มือสอนทางดีวีดี และได้เล่นโยคะสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง มีอาการเกี่ยวกับท้องไส้ลดน้อยลงอย่างมาก และมีความวิตกกังวลน้อยลง เมื่อเทียบกับกลุ่มเปรียบเทียบซึ่งออกกำลังกายแบบธรรมดา

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม พบว่า การทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย รวมทั้งโยคะ สัปดาห์ละ 5 วัน ช่วยลดอาการนี้ได้ เหตุที่ช่วยได้นั้น เพราะนอกจากโยคะช่วยบำบัดร่างกายแล้วยังช่วยบำบัดจิตใจด้วย

วิธีแก้อื่น ว่ายน้ำหรือเล่นแอโรบิกในน้ำ สัปดาห์ละ 3 - 5 ครั้ง

โรคเหงือก

วิธีแก้ : แอโรบิก

ความถี่ : เต้นแอโรบิกครั้งละ 45 นาที - 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 ครั้ง

เหตุผล : แต่ก่อนวิธีป้องกันโรคเหงือกก็คือ แปรฟันและใช้ไหมขัดฟัน แต่งานวิจัยซึ่งศึกษาประชาชน 12,000 คน ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Periodontology ระบุว่า คนที่เต้นแอโรบิกมีแนวโน้มลดลง 40% ที่จะเป็นโรคติดเชื้อที่เหงือก ซึ่งจะทำให้ฟันหลุด และเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวาน

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ ในสหรัฐ พบว่า การออกกำลังกายปานกลาง สัปดาห์ละ 5 ครั้ง หรือออกกำลังกายอย่างหนัก สัปดาห์ละ 3 ครั้ง บวกกับการกินอาหารที่มีประโยชน์และรักษาอนามัยช่องปาก ช่วยลดโอกาสเป็นโรคเหงือกได้

วิธีแก้อื่น ปั่นจักรยาน ซึ่งเป็นวิธีออกกำลังกายเทียบได้กับการเต้นแอโรบิก

ความดันโลหิตสูง

วิธีแก้ : เดินออกกำลัง

ความถี่ : 30 - 60 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

เหตุผล : การเดินไต่ไปตามภูเขาหรือก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ ช่วยได้มาก นักสรีรศาสตร์ของสถาบันวิจัยโอเรกอน พบว่า การเดินไต่ไปตามก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น

พื้นผิวที่ไม่สม่ำเสมอจะกดจุดที่ฝ่าเท้า ช่วยให้เลือดลมเดินสะดวกขึ้น การกดจุดตามร่างกายช่วยให้ช่องทางที่อุดตันต่างๆ โล่งขึ้น การออกกำลังกายด้วยวิธีนี้จะเผาผลาญแคลอรีมากกว่าการเดินบนพื้นที่ราบเรียบ

ในงานวิจัยของโอเรกอน ซึ่งตีพิมพ์ใน Journal of the American Geriatrics Society ดร.ฟูจง ลี ได้ขอให้อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งเดินบนแผ่นตะปุ่มตะป่ำเป็นเวลา 60 นาที และอีกกลุ่มขอให้เดินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 16 สัปดาห์

เมื่อสิ้นระยะเวลาศึกษา กลุ่มที่เดินบนแผ่นก้อนกรวดจำลอง ได้รับประโยชน์อย่างมากเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจ รวมทั้งความดันโลหิต งานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งเสนอต่อสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน ระบุว่า ไทเก็กช่วยลดความดันโลหิตในผู้สูงอายุได้มากเกือบเท่ากับการออกกำลังกายปานกลาง เช่น การวิ่ง

โรคกระดูกพรุน

วิธีแก้ : วิ่ง

ความถี่ : 30 นาที สัปดาห์ละ 3 - 5 วัน

เหตุผล : กิจกรรมที่ทำให้เกิดการกระทบหนักๆ เช่น กระโดดบนพื้น ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และการวิ่งจะให้ผลดีที่สุด

ในงานวิจัยเมื่อต้นปีนี้ ศาสตราจารย์แพม ฮินตัน แห่งภาควิชาโภชนศาสตร์และสรีรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิสซูรี ได้เปรียบเทียบผลระยะยาวของการวิ่ง การปั่นจักรยาน และการยกน้ำหนัก ที่มีต่อมวลกระดูก พบว่า คนที่วิ่งเป็นประจำมีกระดูกสันหลังแข็งแรงที่สุด

เธอแนะนำว่า คนที่ออกกำลังกายแบบไม่มีการรับน้ำหนัก เช่น ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ พายเรือ ควรเพิ่มการวิ่งเข้าไปด้วย

วิธีแก้อื่น : เทนนิส บาสเกตบอล และกระโดด ซึ่งล้วนเป็นวิธีที่ร่างกายต้องรับน้ำหนัก

โรคซึมเศร้า

วิธีแก้ : เดิน

ความถี่ : วันละ 30 นาที

เหตุผล : การเดินในสวนสาธารณะหรือป่าเขาลำเนาไพร ช่วยให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น นักวิจัยหลายรายพบว่า การเดินเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะอาการซึมเศร้าระดับต่ำและปานกลาง

องค์การการกุศล Mind ได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยเอสเซ็ก ซึ่งพบว่า การเดินในห้อมล้อมของธรรมชาติ ช่วยลดความรู้สึกซึมเศร้า ขณะที่การเดินในห้างสรรพสินค้าหรือในเมืองจะเพิ่มปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์

งานวิจัยในสหรัฐระบุว่า การเดินจ้ำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่ากินยาต้านอาการนี้เสียอีก

วิธีแก้อื่น : เล่นว่าว ทำสวน

12 เรื่องราวที่สุดในโลก ของ Michael Jackson

ไมเคิล แจ๊กสัน เป็นตำนานศิลปิน ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของโลก ตลอดกาล ที่บันทึกลงในกินเนสบุ๊คส์

1.ไมเคิล แจ๊กสัน เป็นศิลปินที่ทำรายได้มากที่สุดในโลก โดยตลอดชีวิตของการเป็นศิลปิน ทำรายได้กว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1,400,000,000,000 บาท ล้านล้านบาท

2.ไมเคิล แจ๊กสัน เป็นศิลปินที่มีแฟนคลับเยอะที่สุดในโลก ตลอด 30ปี มีแฟนคลับมากกว่า 900ล้านคน ทั่วโลก

3.ไมเคิล แจ๊กสัน เป็นศิลปินที่มียอดขายอัลบั้ม มากที่สุดในโลก มียอดขายกว่า 750 ล้านชุด ทั่วโลก

4.ไมเคิล แจ๊กสัน เป็นศิลปินที่ได้รับรางวัลทางดนตรีระดับโลก อย่าง แกรมมี่ อวอร์ดส์ กว่า 13 รางวัล

5.ไมเคิล แจ๊กสัน เป็นศิลปินที่ขึ้นชาร์ทอันดับ 1 บิลบอร์ด ชาร์ทเพลงอันดับ1ของโลก ยาวนานกว่า 80สัปดาห์ติดต่อกัน และเป็นศิลปินที่มีเพลงขึ้นชาร์ทอันดับ1ทั่วโลกมากที่สุดในโลก

6.ไมเคิล แจ๊กสัน เป็นศิลปินทีมีคนเข้าชมคอนเสิร์ต มากที่สุดในโลก กว่า 2 แสนคนต่อ 1 รอบคอนเสิร์ต และการทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก

7.ไมเคิล แจ๊กสัน เป็นศิลปินที่มีค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการดนตรีของโลก ทำสถิติค่าตัวในการโชว์ สูงสุดกว่า 650ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2หมื่นล้านบาท

8.ไมเคิล แจ๊กสัน เป็นศิลปินที่เป็นต้นแบบ เป็นไอดอล ให้กับศิลปินซุปเปอรสตาร์ทั่วโลก อาทิ จัสติน ทิมเบอร์เลก และ ศิลปินชื่อดังทั่วโลกอีกมามาย

9.ไมเคิล แจ๊กสัน ศิลปิน ที่มีความสามารถในการเต้นมากที่สุดในโลก มีท่าเต้นดังที่สุดในโลก คือ MoonWalk

10.ไมเคิล แจ๊กสัน เป็นศิลปินที่เป็นผู้นำด้านเทคโลยีการผลิต MV และ ผลิตโปรดักชั่นคอนเสิร์ต จอ LCD LED Projetor ระบบเลเลเซอร์ แสง สี เสียง ลำสมัย มักถูกใช้ในคอนเสิร์ตของไมเคิล แจ๊กสัน เป็นครั้งแรกของโลก แทบทุกโนโลยีหลายสิบปีก่อน และด้านเทคโนโลยีผลิตมิวสิควีดีโอ โดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิก

11.ถูกใช้MV ของไมเคิลฯเป็นครั้งแรกของโลก และเป็นต้นแบบให้ในการผลิตคอนเสิร์ต และ มิวสิควีดีโอ ของศิลปินต่างๆไปทั่วโลก

12.ไมเคิล แจ๊กสัน สุดยอดของศิลปินในตำนานของโลก

เกร็ดความรู้ ประโยชน์ ของลูกเดือย

---ในลูกเดือยนั้นมีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบมากที่สุด รองลงมาเป็นโปรตีน ซึ่งเป็นโปรตีนคุณภาพสูงเทียบเท่าโปรตีนที่ได้จากข้าวโอ๊ตนอกจากนั้นก็ยังมีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบี๑ ใยอาหาร และยังมีกรดอะมิโน ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น เพราะกรดอะมิโนตัวนี้จะสามารถเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอน หลับ สมองก็จะพักการทำงานชั่วคราว หลังจากที่ทำงานมาอย่างหนักตลอดทั้งวัน
รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมหาลูกเดือย มาติดบ้านไว้นะคะ ^-^

27/6/52

ประวัติความเป็นมาของขนมไทย

---ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม

+++ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น

+++สมัยรัตนโกสินทร์ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ 2,000 รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้ มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้วเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง

---ในสมัยต่อมาเมื่อการค้าเจริญขึ้นในตลาดมีขนมนานาชนิดมาขาย ทั้งขายอยู่กับที่ แบกกระบุง หาบเร่ และมีการปรับปรุงการบรรจุหีบห่อไปตามยุคสมัย เช่นในปัจจุบันมีการบรรจุในกล่องโฟมแทนการห่อด้วยใบตองในอดีต

ขนมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากขนมของชาติอื่น

---ไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทยๆ จนทำให้คนรุ่นหลังๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่ไข่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส

วุ้นเส้น

----วุ้นเส้น ทำจากแป้งของถั่วเขียว น้ำ และส่วนผสมอย่างอื่น เช่นแป้งมันฝรั่ง มีลักษณะเป็นเส้นกลมใสและยาว ปกติมักขายในรูปของวุ้นเส้นอบแห้ง เมื่อจะนำไปประกอบอาหารต้องแช่น้ำหรือต้มให้คืนรูปก่อน ตัวอย่างอาหารที่ใช้วุ้นเส้นคือ แกงจืด ผัดวุ้นเส้น กุ้งอบวุ้นเส้น เป็นต้น

----ในภาษาอังกฤษจะเรียกวุ้นเส้นว่า cellophane noodle เนื่องจากมีความใสคล้ายเซลโลเฟน เมื่อวุ้นเส้นถูกอบให้แห้ง วุ้นเส้นจะใสไม่มีสี หรือใสเป็นสีเทาอ่อนหรือสีน้ำตาลอมเทา ไม่ควรสับสนระหว่างวุ้นเส้นและเส้นหมี่ (rice vermicelli) ซึ่งผลิตจากข้าวและสามารถเห็นเส้นเป็นสีขาวมากกว่าความใส
วุ้นเส้นมักเป็นเส้นกลมและมีความหนาแตกต่างกันออกไป วุ้นเส้นที่แบนและกว้างประมาณ 1
เซนติเมตรคล้ายเส้นใหญ่ก็ยังมีขายในต่างประเทศ (แต่ไม่มีขายในประเทศไทย)

เรื่อง ระหว่างพ่อกับลูก

ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู
ลูก "พ่อครับ พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"
พ่อ "ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ"
ลูก "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
พ่อ "ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่, ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ" พ่อตอบด้วยความโมโหลูก
"ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"ลูกพูดร้องขอพ่อ
"ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"
ลูก "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก
พูดกับพ่ออีกครั้งลูก "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10เหรียญ"
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์พ่อ "นี่เป็นเหตุผลที่แกถาม เพื่อจะขอเงิน แล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะแล้วลองคิดดูว่าแกน่ะเห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวัน และไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"
เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้น เพื่อจะขอเงินได้อย่างไร หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริง ๆและลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู
พ่อ "หลับหรือยังลูก"
ลูก "ยังครับ"
พ่อ "พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไปนานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก , เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ"
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งลูก "ขอบคุณครับพ่อ"
ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้า ๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง
พ่อ "ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม"
ลูก "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้วพ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง....พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ ..."

23/6/52

ชินคันเซ็น


+++ชินคันเซ็น (「新幹線」, shinkansen, 新幹線?) เป็นเครือข่ายของรถไฟความเร็วสูงในญี่ปุ่นซึ่งดำเนินการโดย 4 กลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น นับตั้งแต่ได้เปิดใช้ โทไกโด ชินคันเซ็น ในปี 1964 รถไฟคันนี้สามารถวิ่งด้วยความเร็ว 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้น เครือข่ายของระบบรถไฟนี้ก็ได้ขยายออกไปจนครอบคลุมพื้นที่สำคัญต่างๆของประเทศตามเมืองใหญ่ๆในเกาะฮอนชู เกาะคิวชู ความยาวเส้นทางรวม 2,459 กิโลเมตร โดยสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้จะเกิดแผ่นดินไหวหรือพายุไต้ฝุ่น ก็สามารถวิ่งได้ตามปกติ ในรางปกตินั้นรถไฟสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 443 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ทำการทดสอบในปี 1996) แต่สามารถเร่งความเร็วได้ถึง 581 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นความเร็วสถิติโลกเมื่อวิ่งด้วยรางรถไฟแม่เหล็ก (แม็คเลฟ) ในปี 2003
ชินคันเซ็น มีความหมายว่า "ทางรถไฟสายใหม่" ดังนั้น ตามความหมายอย่างเป็นทางการชินคันเซ็น จะเป็นชื่อที่ใช้เรียกระบบรางรถไฟเท่านั้น ส่วนตัวรถไฟจะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "รถไฟความเร็วสูง" หรือ "รถไฟซุปเปอร์เอ็กเพรส" (超特急, chō-tokkyū) อย่างไรก็ตาม ทั้งสองชื่อก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสับสนแต่อย่างใด สามารถเรียกใช้แทนกันได้แม้แต่ในญี่ปุ่นก็ตาม
เมื่อเปรียบเทียบกับทางรถไฟสายเก่าแล้ว ชินคันเซ็นจะมีความแตกต่างตรงที่รางรถไฟจะมีความกว้างเป็นแบบมาตรฐาน และมีการขุด
อุโมงค์เข้าไปหรือสร้างสะพานข้ามเมื่อเจอสิ่งกีดขวางแทนที่จะอ้อมไปแบบแต่ก่อน ทำให้เส้นทางรถไฟของชินคันเซ็นจะมีความคดเคี้ยวน้อยกว่า และช่วยร่นระยะทางให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีเส้นทางเดินรถที่ใหญ่และไกล แต่ชินคันเซ็นนั้นก็เป็นเส้นทางที่ใช้เชื่อมตามมหานครใหญ่ๆในญี่ปุ่นเท่านั้น
จุดประสงค์แรก

ชื่อเรียกอีกชื่อที่คุ้นหูกันดีสำหรับชินคันเซ็นนี้ก็คือ รถไฟหัวกระสุน (bullet train) ซึ่งเป็นความหมายของคำในภาษาญี่ปุ่นว่า dangan ressha (弾丸列車) ต่อมาชื่อนี้ได้นำมาเรียกเป็นชื่อเล่นของโครงการตั้งแต่ตอนเริ่มต้นปรึกษาหารือความเป็นไปได้ของโครงการในราวทศวรรษที่ 1930 ชื่อนี้ได้มาจากลักษณะของหัวรถจักรที่มีลักษณะคล้ายกับหัวกระสุนปืนและยังมีความเร็วสูงเหมือนกระสุนปืนนั่นเอง
คำว่า "ชินคันเซ็น" มีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี
พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) เพื่อใช้เรียกเส้นทางทางเดินรถไฟโดยสาร/สินค้าจากกรุงโตเกียวไปยังชิโมโนเซกิที่จะสร้างขึ้นในสมัยนั้น โดยการใช้พลังงานไอน้ำและหัวรถจักรไฟฟ้าที่สามารถเร่งความเร็วได้ถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้นสามปี รัฐมนตรีรถไฟได้ผลักดันให้เกิดโครงการขยายทางรถไฟไปสู่นครปักกิ่ง (โดยการเจาะอุโมงค์ผ่านคาบสมุทรเกาหลี) หรือยาวไปจนถึงสิงคโปร์เลยทีเดียว ไปจนถึงการสร้างทางรถไฟเชื่อมกับทางรถไฟสายไซบีเรียนของรัสเซียและทางรถไฟสายอื่นๆ ของเอเชีย แต่ต่อมา แผนนี้ได้มีการยกเลิกในปี พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) และสภาวะของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างบางส่วนก็ได้รับการพัฒนาต่อ เช่น อุโมงค์บางส่วนได้มาการนำมาใช้สำหรับชินคันเซ็นในปัจจุบันนับตั้งแต่มีการสร้างครั้งแรกในช่วงสงคราม

ในปี
พ.ศ. 2500 (1957) บริษัทรถไฟฟ้าโอดะคิวจำกัดได้นำ Romancecar รุ่น 3000 SE ของบริษัทมาทดสอบ รถไฟขบวนนี้สามารถทำความเร็วได้เป็นสถิติโลกสำหรับทางรถไฟความกว้างแบบแคบในสมัยนั้น (145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) รถไฟขบวนนี้จึงทำให้นักออกแบบรถไฟมีความมั่นใจได้เลยว่าพวกเขาสามารถสร้างรถไฟที่มีความเร็วมากกว่านี้ในรางรถไฟความกว้างมาตรฐานได้ จนนำมาสู่การสร้างชินคันเซ็นซีรีส์ 0 หรือชินคันเซ็นรุ่นแรกในเวลาต่อมา ซึ่งก็มาจากความสำเร็จของ Romancecar นั่นเอง

การก่อสร้าง

ภูเขาไฟฟูจิกับรถไฟชินคันเซ็น ในช่วงดอกซากุระบาน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง รถไฟความเร็วสูงก็ได้เลือนหายไปจากความทรงจำของคนญี่ปุ่นเป็นเวลาหลายปี ต่อมากลางทศวรรษที่ 1950 ทางรถไฟสายหลักโทไกโดก็ถูกใช้งานมาจนเต็มขีดความสามารถแล้ว รัฐมนตรีรถไฟของญี่ปุ่นจึงได้ตัดสินใจกลับมาทบทวนโครงการชินคันเซ็นอีกครั้ง รัฐบาลได้อนุมัติโครงการเมื่อปี 1958 การก่อสร้างทางรถไฟส่วนแรกของ โทไกโด ชินคันเซ็น ระหว่างกรุง
โตเกียวไปยังโอซากาก็ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2502 การก่อสร้างทางรถไฟครั้งนี้ ญี่ปุ่นจำเป็นต้องกู้เงินจากธนาคารโลกเป็นจำนวนเงิน 80 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ต่อมาในปี 1962 ได้มีพิธีเปิดการทดสอบระบบเพื่อการขนสินค้าเป็นครั้งแรกในบางส่วนของเส้นทางนี้ ที่เมืองโอดาวาระ จังหวัดคานากาวะ
โทไกโด ชินคันเซ็น ได้เปิดใช้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่
1 ตุลาคม พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) ซึ่งทันเวลาสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1964 ณ กรุงโตเกียวพอดี ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จทันทีทีเปิดใช้บริการ โดยมีจำนวนผู้โดยสารถึง 100 ล้านคนในเวลาน้อยกว่า 3 ปีคือวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) และยอดผู้โดยสารรวมมีจำนวนถึง 1,000 ล้านคนในปี 1976 และรถไฟขบวนโดยสาร 16 ตู้ก็ได้นำมาจัดแสดงในงานนิทรรศการปี 70 ที่โอซาก้า
รถไฟชินคันเซ็นขบวนแรกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[1] หลังจากนั้นก็เพิ่มเป็น 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถไฟบางขบวนที่มีรูปร่างเป็นหัวกระสุนนั้นยังมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และหัวรถจักรคันหนึ่งในจำนวนนี้ปัจจุบันได้นำไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งชาติ ที่เมืองยอร์ค สหราชอาณาจักร

การต่อขยายเส้นทาง

หลังจากในช่วงแรกประสบความสำเร็จ จึงพร้อมที่จะต่อขยายเส้นทางเดินรถไฟออกไปทางตะวันตก โดยมีจุดหมายไปยัง
ฮิโรชิมาและฟุกุโอะกะ (ซันโย ชินคันเซ็น) จนแล้วเสร็จในปี 1975
คาคุเออิ ทานากะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ให้การสนับสนุนอย่างมาก รัฐบาลชุดนี้ตั้งเป้าว่าจะต่อขยายรางรถไฟที่มีอยู่ให้กลายเป็นรางรถไฟรางคู่ขนานครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เส้นทางใหม่ 2 แห่งแรกคือ โทโฮคุ ชินคันเซ็น และ โจเอสึ ชินคันเซ็น ทั้งสองเส้นทางนี้สร้างขึ้นตามแผนการของรัฐบาลชุดนี้ หลังจากนั้นแผนการต่อขยายในเส้นทางอื่นๆก็ถูกระงับชั่วคราวหรือถูกยกเลิกไปทั้งหมดขณะที่กิจการรถไฟแห่งชาติเริ่มเข้าสู่ภาวะเป็นหนี้มหาศาลเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเครือข่ายชินคันเซ็นทั่วประเทศนั้นเป็นตัวเลขที่สูงมากทีเดียว ในราวทศวรรษที่ 1980 การรถไฟญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเกือบจะล้มละลาย จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นหน่วยงานเอกชนในที่สุด เมื่อปี 1987

อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนารถไฟชินคันเซ็นก็ได้ดำเนินการมาโดยตลอด มีต้นแบบรถที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละรุ่นออกมาเสมอ ตอนนี้ รถไฟชินคันเซ็นสามารถทำความเร็วได้ถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก้าวขึ้นมาเทียบเท่ารถไฟความเร็วสูงระดับโลกไม่ว่าจะเป็น TGV ของฝรั่งเศส, TAV ของอิตาลี, AVE ของอิตาลี และ ICE ของเยอรมนี

นอกจากนั้น ตั้งแต่ปี 1970 ญี่ปุ่นยังได้พัฒนาชุโอะ ชินคันเซ็น ซึ่งเป็น
รถไฟพลังแม่เหล็ก (แม็กเลฟ) โดยกำหนดว่าจะวิ่งจากโตเกียวไปยังโอซาก้า ในวันที่ 2 ธันวาคม ปี 2003 รถไฟพลังแม่เหล็กขนาดสามตู้รถไฟ ชื่อ JR-Maglev MLX01 ก็สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเป็นสถิติโลกของทุกวันนี้ นั่นคือ 581 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สถิติด้านความปลอดภัย
ระหว่างการใช้งานกว่า 40 ปีเต็ม จำนวนยอดผู้โดยสารกว่า 6 ล้านคนมาแล้ว ชินคันเซ็นก็ไม่เคยมีประวัติว่ามีผู้โดยสารเสียชีวิตเนื่องจากรถไฟตกรางหรือรถไฟชนกันเลย (รวมไปถึงอุบัติเหตุแผ่นดินไหวและพายุไต้ฝุ่นด้วย) มีเพียงการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากประตูรถไฟงับผู้โดยสารหรือสัมภาระของผู้โดยสารเท่านั้น เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอยู่เป็นจำนวนมากที่สถานีเพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็เคยมีประวัติผู้โดยสารฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงไปในรางขณะที่รถไฟกำลังเทียบชานชาลาหรือกระโดดออกจากรถไฟก่อนที่รถไฟจะจอด

ชินคันเซ็นช่วงที่กำลังรับส่งผู้โดยสารนั้นเคยตกรางเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวชูเอ็ทสุ เมื่อวันที่
23 ตุลาคม ค.ศ. 2004 โบกี้โดยสารจำนวน 8 โบกี้จากทั้งหมด 10 โบกี้ของรถไฟหมายเลข 325 สายโจเอ็ทสุ ชินคันเซ็นตกรางใกล้ๆกับสถานีนากาโอกะ ในเมืองนากาโนกะ จังหวัดนีงะตะ แต่ผู้โดยสารทั้ง 154 คนไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด[1]PDF (43.8 KiB) ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้น ระบบตรวจจับแผ่นดินไหวสามารถสั่งการให้รถไฟหยุดได้อย่างรวดเร็ว

22/6/52

คำสอนของพ่อ (ในหลวงของเรา) มีแต่ดีๆ ทั้งนั้น

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

1. ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
2. อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใดนอกจาก ปัญญา และความกล้าหาญ
3. พื่อนใหม่ คือ ของขวัญที่ให้กับตนเอง ส่วนเพื่อนเก่า/มิตร คือ อัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
4. ปฏิบัติต่อคนอื่น เช่นเดียวกับอยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อเรา
5. พูดคำว่า ขอบคุณให้มากๆ
6. รักษา ความลับ ให้เป็น
7. ประเมินคุณค่าของการให้ อภัย ให้สูง
8. ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
9. หากล้มลงอย่ากลัวการลุกขึ้นใหม่
10. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก คิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
11. อย่างเถียงธุรกิจในลิฟต์
12.ใช้บัตรเครดิตเพื่อนความสุดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
13. อย่างหยิ่งหากจะกล่าวว่าขอโทษ
14. อย่าอายหากจะบอกใครว่า ไม่รู้
15. ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง
16. เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป
17. การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
18. คนไม่รักเงิน คือ คนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
19. ยามทะเลาะกันผู้ที่เงียบก่อนคือผู้ที่มีการอบรมสั่นสอนมาดี
20. จงอย่าให้จุดแข็งเอาชนะจุดอ่อน
21. เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด
22. เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จ กับความล้มเหลว
23. อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น
24. ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
25. ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆ ไปก็ผิดหมด
26. จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
27. ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ ต้องปีนบันไดสูง

21/6/52

ระบบหายใจ


ระบบหายใจ



ระบบหายใจ ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบนี้ประกอบด้วยอวัยวะสำคัญ ได้แก่ จมูก หลอดลม และปอด

3.1 จมูก เป็นอวัยวะส่วนต้นของระบบหายใจ ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศ ช่วยกรองฝุ่นละออง และเชื้อโรคบางส่วนก่อนอากาศจะผ่านไปสู่อวัยวะอื่นต่อไป

3.2 หลอดลม เป็นท่อกลวงเชื่อมต่อกับขั้วปอดทั้ง 2 ข้าง ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศเพื่อนำไปสู่ปอด

3.3 ปอด เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของระบบหายใจ ปอดมี 2 ข้าง อยู่ในทรวงอกด้านซ้ายและขวา ปอดแต่ละข้างประกอบด้วยขั้วปอด ซึ่งจะแตกแขนงออกเป็นหลอดเล็กๆ เรียกว่า แขนงขั้วปอด ที่ปลายของแขนงขั้วปอดจะพองออกเป็นถุงลมเล็กๆ มากมาย สำหรับเป็นที่แลกเปลี่ยนแก๊ส เรียกว่า ถุงลมปอด

นอกจากอวัยวะที่กล่าวมาแล้ว การทำงานของระบบหายใจยังต้องอาศัยกล้ามเนื้อซี่โครงและกล้ามเนื้อกะบังลมทำงานร่วมกัน ทำให้เกิดการหายใจเข้าและหายใจออก เมื่อเราหายใจเข้า กล้ามเนื้อซี่โครงจะบีบตัวและขยายออก กล้ามเนื้อที่กะบังลมจะหดตัวเหยียดตรง ทำให้ช่องอกมีที่ว่างมากขึ้น ขณะเดียวกันอากาศก็จะผ่านเข้าสู่ช่องจมูก แล้วเข้าสู่หลอดลมลงไปที่ปอดแต่ละข้าง แก๊สออกซิเจนที่อยู่ในอากาศจะซึมออกจากถุงลมปอดเข้าสู่กระแสเลือด ขณะเดียวกันแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะซึมออกจากกระแสเลือดเข้าสู่ถุงลม ปอดทำให้อากาศในถุงลมมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อที่ซี่โครง กะบังลมและกล้ามเนื้อช่องท้อง คลายตัวกลับสู่สภาพเดิม ทำให้บริเวณช่องอกแคบลง แล้วออกจากร่างกายทางช่องจมูก เป็นลมหายใจออก

17/6/52

น้ำเต้าหู้

นมถั่วเหลืองพาสเจอไรซ์


-----น้ำเต้าหู้ หรือ นมถั่วเหลือง เป็นอาหารว่างของไทย ทำจากการบดถั่วเหลืองและนำไปต้มกรอง โดยจะได้น้ำเต้าหู้ ซึ่งก็คือนมถั่วเหลืองที่เจือจางลงนั่นเอง

-----ทานป็นเครื่องดื่มได้ทันที่ นิยมรับประทาน เป็น มือเช้า มักทานคู่กับ ปาท่องโก๋ หรือเป็นนำเต้าหู้ทรงเครื่องที่ โดยใส่ สาคู ลูกเดือย วุ้น หรือธัญพืชชนิดอื่นๆ ตามชอบ

โปรตีนในน้ำเต้าหู้

-----ถั่วเหลืองมีโปรตีนสูง ถั่วเหลืองจึงเป็นแหล่งโปรตีนสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เพราะถั่วเหลืองมีคุณค่าทางโภชณาการใกล้เคียงกับโปรตีนจากสัตว์ ถ้าเราบริโภคถั่วเหลืองในปริมาณที่สูงพอ ร่างกายจะได้รับโปรตีนเพียงพอกับความต้องการได้

ประโยชน์ของน้ำเต้าหู้

-----นอกจากถั่วเหลืองเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ในถั่วเหลืองยังอุดมไปด้วยสารอาหารอีกมากมาย คือ คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน A, B, B1, B2, B6, B12, ไนอาซิน และวิตามิน C, D, E อีกด้วย ในเมล็ดถั่วเหลืองนั้นยังมี เลซิทิน ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มทักษะความจำ ลดไขมัน และลดโคเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วย

น้ำเต้าหู้(นมถั่วเหลือง)กับนม

-----การดื่มนมถั่วเหลืองจะได้รับประโยชน์กว่าเครื่องดื่มอื่นๆ ถ้าเทียบกับนมแล้วนมถั่วเหลืองจะมีข้อดีกว่า แม้บางอย่างจะสู้นมไม่ได้ แต่นมถั่วเหลืองให้โปรตีนเกือบเท่านม มีไขมันที่ดีกว่าคือให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่านม ช่วยลดโคเลสเตอรอล สำหรับข้อเสียคือ นมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียมได้น้อยมาก

สรุป

-----ดังนั้นการดื่มนมถั่วเหลืองในแต่ละวัน ถ้าเป็นนมถั่วเหลืองชนิดธรรมดาที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียมเข้าไปนั้น แนะนำให้ดื่มเป็นอาหารเสริมวันละ 1-2 แก้ว เพราะนมถั่วเหลืองชนิดธรรมดา มีแคลเซียมไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงควรรับประทานอาหารอื่นที่มีแคลเซียมควบคู่กันไปด้วย

8/6/52

"ค่าโง่ของชีวิต"

---"ค่าโง่ของชีวิต"ตอนซื้อของแพงกว่าราคาจริงประเภทซื้อของชิ้นหนึ่งเสร็จ เดินไปอีกไม่กี่ก้าวแล้วเจอของชิ้นเดียวกัน ที่แปะราคาไว้ถูกกว่าเป็นร้อยเป็นพัน คุณคงโมโหกระฟัดกระเฟียด และจดจำเงินส่วนต่างที่ต้องจ่ายด้วยความไม่รู้นั้น ไว้ในใจไปอีกนาน อาจหลายชั่วโมง อาจหลายวัน หรือบางทีอาจเป็นเดือนๆส่วนต่างที่ต้องจ่ายด้วยความไม่รู้นั้นชาวบ้านเรียกกันแบบสั้นๆเข้าใจง่ายๆว่า "ค่าโง่"

--- อันที่จริงค่าโง่มีอยู่หลายแบบ แบบที่ถูกหลอกเอาซึ่งๆหน้า แบบที่เราคำนวณพลาดเอง ตลอดจนแบบที่เกิดจากข้อมูลไม่พอ เดินไม่ทั่ว เห็นไม่ครบ ถ้าใครทำบัญชีค่าโง่เก็บไว้ดูเป็นรายปี บางทีสิ้นปีอาจตาเหลือกรู้สึกคล้ายจะเป็นลม คนที่ขัดสนหน่อยอาจเสียค่าโง่ปีละเป็นพันๆ คนที่ฐานะปานกลางอาจเสียค่าโง่ปีละเป็นแสนๆ และคนที่ฐานะมั่งคั่งอาจเสียค่าโง่ปีละเป็นสิบๆล้าน!

---ไม่มีใครตั้งงบล่วงหน้าไว้จ่ายค่าโง่โดยเฉพาะ เพราะถ้ารู้ดีขนาดตั้งงบได้ ก็แปลว่ามีสิทธิ์ตัดงบนี้ทิ้งเสียก่อนแล้ว ความจริงก็คือคุณแทบไม่มีทางรู้ตัวเลย ว่าแต่ละปีต้องจ่ายค่าโง่เป็นจำนวนเท่าไร ถ้าเอาค่าโง่ของทุกปีมารวมกัน เชื่อเถอะครับว่าสุดท้ายคุณจะตายตาไม่หลับ เพราะเอาแต่เสียดายว่าชีวิตที่ผ่านมานี้ แทนที่จะเอาเงินจำนวนหนึ่ง ไปแลกบ้าน แลกรถ แลกตั๋วเครื่องบิน กลับต้องเอามาจ่ายค่าโง่ไปเปล่าๆปลี้ๆ พอตายไป

---สมมุติว่าคุณระลึกได้ว่าตะกี้เป็นอะไร ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นอะไรแล้ว ตลอดจนสามารถล่วงรู้ได้อีกว่า นอกจากภพตะกี้ที่จากมา กับภพนี้ที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ ยังมีภพชาติอื่นในอดีตเรียงรายมากมายเกินจะนับ แถมยังมีภพชาติอื่นในอนาคตรออยู่ไม่สิ้นสุด คุณคงเปลี่ยนใจ รู้สึกว่าค่าโง่ที่นับเป็นจำนวนเงินในแต่ละชาติ มันแค่เรื่องจิ๊บๆ ทุกครั้งที่เกิดมา ยังมีค่าโง่อย่างอื่นที่เราจ่ายหนักกว่านั้นมากนัก ค่าโง่ที่สาหัสที่สุด คือการต้องจ่ายหนี้บาป อันเกิดจากการทำบาปด้วยความไม่รู้ว่าบาปมีผล เหมือนเด็กที่ทำผิดโดยไม่รู้ว่าจะถูกครูตี เมื่อจะต้องถูกตีจึงรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมน่ากลัว และถึงเวลานั้นก็สายเกินกว่าจะแก้ตัวเสียแล้ว ส่วนค่าโง่ที่น่าเสียดายที่สุด คือการพบพระพุทธศาสนา แต่ไม่รู้ว่าพุทธศาสนา คือประตูไปสู่บรมสุขอันเป็นอมตะ

---มัวหลงเข้าใจว่าพุทธศาสนา เป็นแค่อีกศาสนาหนึ่งที่มีไว้ เพื่อให้เลือกเชื่อหรือไม่เชื่อกันตามอัธยาศัย การพบพุทธศาสนาแบบไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง ก็เท่ากับหมดโอกาสรู้ตัว ว่ากำลังจ่ายค่าโง่กันเป็นภพเป็นชาติ ซึ่งก็นับไม่ถูกว่ากี่แสน กี่ล้าน กี่โกฏิชาติแล้ว มูลค่าในการทำให้คนๆหนึ่งเข้าใจศาสนาพุทธ จึงตีเป็นจำนวนเงินเท่านั้นเท่านี้ไม่ได้ ถ้าจะคิดเป็นมูลค่ากันจริงๆ ต้องคำนวณกันเป็นอัตราความสว่าง เช่น ถ้าช่วยให้ใครสักคน เข้าใจพุทธศาสนาระดับทานและศีล

---ก็ได้เป็นอัตราความสว่าง ระดับเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นเทวดา ซึ่งก็นับว่ามีความจัดจ้ากว่าแสงอาทิตย์ได้ เพราะแสงอาทิตย์ไม่เคยช่วยให้คนๆหนึ่งเห็นสวรรค์ มีก็แต่บุญเท่านั้นที่เข็นไหว แต่ถ้าช่วยให้ใครเข้าใจพุทธศาสนา ในระดับของการภาวนา ก็ได้มูลค่าเป็นอัตราความสว่าง ระดับเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นองค์อรหันต์ พ้นทุกข์พ้นภัยจากการเวียนว่ายตายเกิดถาวร ซึ่งแสงระดับนี้มีความจัดจ้าสูงสุด เทียบแล้วความสว่างระดับทานและศีลที่ยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ กลับกลายเป็นของจ้อยไปเลย เขียนมาทั้งหมดนั้น เกิดจากแรงบันดาลใจ ที่ช่วงหลังๆนี้เห็นคนรอบตัวหลายๆคน อิ่มเอมเปรมใจ

---ได้ดิบได้ดีจากการค้นพบทางธรรม แล้วมีแก่ใจให้ธรรมะกับผู้อื่นด้วยจิตคิดอนุเคราะห์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมทาน ชนะการให้ทานอื่นใดทุกชนิด ความหมายคือผลของธรรมทานนั้น เจิดจรัสจัดจ้าเหนือความสว่างทั้งปวง คุณอย่าไปคิดว่าธรรมทาน จะแปรตัวเป็นกองทุนเลี้ยงชีพทันตา เพราะไม่แน่นอน ยังต้องบวกลบคูณหารกับกรรมเก่าอีก แต่ขอให้คิดว่าธรรมทานอันเกิดจากใจจริงคิดช่วย ได้แปรรูปเป็นความสว่างแห่งจิตทันใจเดี๋ยวนี้แหละ

---ไม่ต้องไปบวกลบคูณหารกับอะไรไกลตัว ถ้าใครรู้สึกว่าตัวเองฉลาดกว่าเดิม หรือเฮงผิดปกติ ทั้งทำมาค้าขึ้น ทั้งได้ลาภ ทั้งได้รับความช่วยเหลืออย่างท่วมท้น ก็อย่าไปสรุปว่าผลของธรรมทานคือประมาณนี้ ผลดีของธรรมทานที่ได้รับในปัจจุบัน มันเป็นแค่เศษๆเสี้ยวๆของตัวอย่างเท่านั้น ของจริงที่จะให้ผลถึงที่สุดแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย มันต้องว่ากันเป็นภพเป็นชาติที่เจริญรุ่งเรืองกว่านี้ อย่างไม่อาจเอามาเทียบกัน และเวลาที่ธรรมทานเปล่งอานุภาพขั้นสุดท้าย

---ก็จะไปกระทำกับจิตใจเจ้าของทานโดยตรง นั่นคือปรุงให้จิตเห็นตามจริงว่า ภพชาติทั้งหลายเป็นทุกข์ เป็นของควรรู้ว่าน่าทิ้ง ไม่ใช่ของควรคิดว่าน่าเอา กระทั่งมีกำลังที่จะทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อเหลือใย ถ้าคุณทำให้คนแม้แต่คนเดียวรู้จัก เข้าใจ ตลอดจนเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ ตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์จะให้พบจริงๆ ก็ให้ชื่นใจเถอะครับ บอกตัวเองเถอะครับว่า ได้สร้างขุมทรัพย์บันลือโลกไว้ให้ตัวเองแล้ว

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

-1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
-2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้ ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมดดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก

- ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก

-ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด

-ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกา ยจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้

-คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนักระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี

-ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

ตาบอดสี

ตาบอดสี


ตาบอดสี
หรือที่เรียกว่า colour blindness เป็นอาการที่ตาของผู้ป่วยแปรผลแปรภาพสีผิดไปจากผู้อื่นที่เป็นตาปกติ ตาเป็นอวัยวะจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขในสังคม หากเกิดความผิดปกติไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดที่มีผลกระทบต่อการมองเห็น บุคคลนั้นๆ ย่อมได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ภาวะตาบอดสีเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในสังคมมากพอสมควร


การมองเห็นสีของตามนุษย์

โดยปกติแล้วตาคนเราจะมีเซลรับแสงอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรก เรียกว่า rods เป็นเซลรับแสงที่รับรู้ถึงความมืด หรือสว่าง ไม่สามารถแยกสีออกได้และจะมีความไวต่อการกระตุ้น แม้ในที่ที่มีแสงเพียงเล็กน้อย เช่น เวลากลางคืน เซลกลุ่มที่สองเป็นเซลทีทำหน้าที่มองเห็นสีต่างๆ เรียกว่า cones โดยจะแยกได้เป็นเซลอีก 3 ชนิด ตามระดับคลื่นแสงหรือสีที่กระตุ้น
คือ เซลรับแสงสีแดง เซลรับแสงสีน้ำเงิน และเซลรับแสงสีเขียว สำหรับแสงสีอื่นๆ เกิดจากการกระตุ้นเซลดังกล่าวนี้มากกว่าหนึ่งชนิด แล้วให้สมองเราแปลภาพออกมาเป็นสีที่ต้องการ เช่น สีม่วง เกิดจากแสงที่กระตุ้นทั้งเซลรับแสงสีแดง และเซลรับแสงสีน้ำเงิน ในระดับที่พอๆ กัน การเกิดสีต่าง ๆ ที่มองเห็นเหล่านี้ ก็เช่นเดียวกับหลอดภาพของเครื่องรับโทรทัศน์นั่นเอง ซึ่งเซลกลุ่มที่สองนี้จะทำงานได้ดีต้องมีแสงสว่างเพียงพอ

ดังนั้นในที่สลัวๆ เราจึงไม่สามารถแยกสีของวัตถุได้แต่ยังพอบอกรูปร่างได้ เนื่องจากมีการทำงานของเซลในกลุ่มแรกอยู่ ต่อเมื่อเพิ่มแสงสว่างขึ้น เราจึงมองเห็นสีต่างๆ ขึ้นมา




ปัจจัยทางพันธุกรรม

สาเหตุของตาบอดสีที่เป็นมาแต่กำเนิด มีเรื่องของกรรมพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยโครโมโซม X ทำให้เพศชายถ้ามีหน่วยพันธุกรรม X ที่ทำให้เกิดตาบอดสี ก็จะแสดงอาการของตาบอดสีออกมา ในขณะที่เพศหญิงถ้าหน่วย X นี้ผิดปกติเพียงหนึ่งหน่วย ก็ยังสามารถมองเห็นได้ปกติเห็นปกติได้ ถ้าหน่วย X อีกตัวหนึ่งไม่ทำให้เกิดตาบอดสี

ความผิดปกติของเม็ดสีและเซลล์รับแสงสีเขียวหรือแดง ถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม x และมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ x-linked recessive จากแม่ไปสู่บุตรชาย เพราะเหตุนี้ตาบอดสีส่วนใหญ่มักจะเกิดกับเด็กผู้ชาย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากมารดา ในเพศหญิงพบน้อยกว่าเพศชายประมาณ 16 เท่า หรือคืดเป็นประมาณร้อยละ 0.4 ของประชากร ขณะที่ตาบอดสีทั้งหมด จะพบได้ประมาณร้อยละ 10 ของประชากร และเป็นการมองเห็นสีเขียวบกพร่องเสียประมาณร้อยละ 5 ของประชากร
กลุ่มที่มีความผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด ตาทั้ง 2 ข้างจะมีอาการมองเห็นสีผิดปกติเหมือนกัน คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ที่สามารถเห็นสีได้ปกติ จะต้องมีเซลล์รับแสงสีที่จอประสาทตาครบทั้ง 3 สี คือ แดง เขียว และน้ำเงิน และมีปริมาณเม็ดสีในเซลล์ที่ปกติ รวมทั้งระบบประสาทตาและการแปลผลที่เป็นปกติด้วย
ส่วนความผิดปกติของเม็ดสี และเซลล์รับแสงสีน้ำเงินนั้น ถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม 7 จึงมีการถ่ายทอดแบบ autosomal dominant ซึ่งจะพบผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้น้อย ตาบอดสีอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ตาบอดสีที่เป็นภายหลัง มักเกิดจากโรคทางจอประสาทตาหรือโรคของเส้นประสาทตาอักเสบ มักจะเสียสีแดงมากกว่าสีอื่น และอาจเสียเพียงเล็กน้อย คือดูสีที่ควรจะเป็นนั้นดูมืดกว่าปกติ หรืออาจจะแยกสีนั้นไม่ได้เลยก็ได้



2/6/52

โรคกระดูกพรุนกับภาวะพร่องวิตามิน ดี

หลายคนคงเคยได้ยินแต่ว่าพร่องแคลเซียมทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนใช่มั๊ยคะ

แล้ววิตามินดีมาเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร"เพราะวิตามินดีมีความสำคัญต่อการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายและเป็นกระบวนการสำคัญต่อการรักษาโรคกระดูกพรุนนั่นเองค่ะ"
วิตามินดี แสงแดด อาหาร และกระดูกพรุนการเกิดโรคกระดูกพรุนจะเป็นการดำเนินโรคไปอย่างช้าๆ
อย่างต่อเนื่องโดยที่ร่างกายไม่แสดงอาการใดๆเลย

กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเป็นโรคกระดูกพรุนก็ตอนที่หกล้มเล็กๆน้อยๆแล้วกระดูก หักไปเลยก็มีให้พบเห็นอยู่บ่อยๆจากผลการศึกษาหนึ่งพบว่า ระดับวิตามินดีในร่างกายของหญิงวัยทองลดต่ำลง จะเห็นได้จากจำนวนผู้หญิงวัยทองที่เป็นโรคกระดูกพรุนถึงร้อยละ 64 และในส่วนของประเทศไทยพบว่ามีภาวะพร่องวิตามินดีประมาณร้อยละ 47 เช่นกันการที่ร่างกายได้รับวิตามินดีน้อยลงนั้น

นอกจากร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมไม่ได้เต็มที่ ยังทำให้ภาวะกระดูกพรุนเพิ่มมากขึ้น ร่างกายเองก็จะไม่สามารถควบคุมการทำงานของต่อมพาราไทรอยด์ ทำให้มวลความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density: BMD) ลดลง อีกทั้งยังทำให้เกิดกระบวนการสลายกระดูกมากขึ้น และทำให้อาการของผู้ป่วยแย่ลงในที่สุดวิตามิน ดี ... อย่าให้พร่องวิตามินดี จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินจำพวกละลายไขมันร่างกายได้รับวิตามินดี ได้ 2 ทางด้วยกันคือ


- จากการรับประทานเข้าไปแล้วซึมในลำไส้ไปพร้อมๆกับอาหารพวกไขมันโดยการช่วย ย่อยของน้ำดี วิตามินดีที่เข้าสู่ร่างกายทั้งสองทางจะถูกนำไปเก็บที่ตับเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้จะเก็บที่ผิวหนัง สมอง ตับอ่อน กระดูก และลำไส้

- และทางผิวหนังจากการได้รับแสงแดด แสงอุลตร้าไวโอเลตจากแสงอาทิตย์จะเข้าไปกระตุ้นคอเลสเตอรอลที่อยู่ในผิวหนัง ให้เปลี่ยนเป็นวิตามินดี โดยตับและไตจะเปลี่ยนให้เป็นวิตามินแล้วซึมเข้าสู่กระแสเลือดปัจจัยเสี่ยงจากภาวะวิตามินดีพร่องสำหรับปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนมีหลายประการ เช่น อายุที่มากขึ้น ภาวะหมดประจำเดือน ดัชนีมวลกายต่ำ การขาดการออกกำลังกาย เคยมีประวัติกระดูกหักที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุรุนแรงมาก่อน

การไม่ได้รับแคลเซียมเสริมอย่างเพียงพอ การใช้ยาสเตียรอยด์ในปริมาณสูงเป็นเวลานาน การได้รับแสงแดดน้อยกว่าที่ควร รวมทั้งขาดการเสริมวิตามินดีอย่างเพียงพอวิตามินดี สำรองไว้อย่าให้ขาด-สะสมแสงยูวีแสง ไม่ได้ทำให้ผิวคล้ำเพียงอย่างเดียว แต่แสงแดดอ่อนๆยามเช้า ตั้งแต่ 8:30 ถึง 10:30 น. และในช่วงเย็นก่อนแดดร่มลมตกประมาณ 16:00 น. เป็นต้นไป เป็นแหล่งวิตามินจากธรรมชาติ ไม่ต้องซื้อหาแต่อย่างใด จากการศึกษาปริมาณของวิตามินดีในเลือดที่ได้จากการสังเคราะห์จะเปลี่ยนไปตาม ฤดูกาล ในฤดูร้อนความเข้มข้นของวิตามินดีในเลือดจะสูงกว่าในฤดูหนาว สำหรับบ้านเราที่มีปริมาณแดดเพียงพอ เพียงแค่ได้รับแสงแดดอ่อนตอนเช้าสักวันละชั่วโมง สองชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว


กลุ่มที่น่ากังวลว่าจะไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอก็ได้แก่ พวกที่ออกจากบ้านแต่เช้ามืด เข้าที่ทำงานแล้วอบตัวอยู่จนค่ำจึงเดินทางกลับบ้าน วันหนึ่งๆจึงไม่ได้รับแสงแดดเลย-อาหารวิตามินดีเป็นวิตามินชนิดเดียวที่มีอยู่น้อยมากในพืชและผัก ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา ไขมัน นม เนย ตับสัตว์ ตับปลาคอด (COD) ปลาทู ไข่แดง ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาแมคเคอร์เรล นมเป็นอาหารที่นิยมเสริมวิตามินดี เพราะเป็นอาหารที่มีแคลเชียม ฟอสฟอรัส และไขมัน ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย-ออกกำลังกายเพิ่มวิตามินการออกกำลังกายก็ช่วยเพิ่มวิตามินดีได้

เลือกออกกำลังที่ต้องลงน้ำหนัก เนื่องจากการออกกำลังกายชนิดที่ต้องลงน้ำหนักนั้นจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง และชะลอกระบวนการสูญเสียมวลกระดูกได้ เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง การเดินขึ้นลงบันได และการกระโดดเชือกสัปดาห์ละ 3-5 ครั้งเกือบครึ่งหนึ่งของผู้หญิงวัยทองในประเทศไทยที่เป็นโรคกระดูกพรุนมีภาวะ พร่องวิตามินดี การแก้ปัญหานี้คือ ให้การศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ของวิตามินดีสำหรับผู้เป็นโรคกระดูกพรุน และให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องวิตามินดี ทั้งเรื่องการปฏิบัติตัว การทำกิจกรรมที่ทำให้ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ รวมถึงอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินดีที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

1/6/52

ปรัชญา "ผ้าขี้ริ้ว"

ปรัชญา "ผ้าขี้ริ้ว" อ่านแล้วดีมากเลยน่ะ...

1. ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย ความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้ม อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น

2. ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

3. ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง

4. ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น

5. ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน

6. ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้น มาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดี มาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร

7. ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น

8. ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้ เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน

9. ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่ เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ตรงนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก

ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิต อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง คุณเห็นด้วยไหม ที่ว่าเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง